ประเทศอินเดีย มีประชากร 1,391.3 ล้านคน (เทียบกับจีน 1,439.3 ล้านคน , สหรัฐอเมริกา 332.6 ล้านคน) มีผู้ติดเชื้อโควิด 19.5 ล้านคน (มากเป็นที่2ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา 33.1 ล้านคน) เสียชีวิต 215,523 คน (เทียบกับสหรัฐอเมริกา 590,704 คน) คิดเป็นอัตราส่วนผู้เสียชีวิต 155 คนต่อประชากรล้านคน แต่ละวันมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นกว่า 3 แสนคน และตายกว่า 3,000 คน (ข้อมูล 2 พ.ค.64) พบผู้ติดเชื้อโควิดรายแรกที่รัฐเคราล่า 30 มกราคม 2563 แล้วระบาดไปทั่วประเทศ เมืองและรัฐที่มีปัญหาหนัก คือ เดลฮี มุมใบ ลัคเนาว์ ปูเน่อาห์เมดาบัด เจนไน อุรังคบัด อัลลาฮาบัด ลัคเนาว์ ชราช มหาราษฎร์ จนต้องเผาศพด้วยไม้ฟืนที่ลานจอดรถ อออกซิเจน ยา Remdesivir และยา tocilizumab ขาดแคลนต้องหาซื้อในตลาดมืดราคาแพง
อินเดียพบผู้ติดเชื้อรายแรกเมื่อ 30 มกราคม 2563 ที่รัฐเคราล่า จากนักเรียนอินเดียที่กลับจากอู่ฮั่น ต่อมาพบกับนักท่องเที่ยวที่มาจากอิตาลี เยอรมนี และซาอุดิอารเบีย มีการระบาดในชุมชนแออัดเมืองมุมไบ จากพิธีกรรมทางศาสนาซิกข์และฮินดูที่มีคนมาร่วมงานจำนวนมาก มีการสั่งซื้อชุดตรวจโควิด 650,000 ชุดมาจากจีน แต่ใช้ไม่ได้ผลแม่นยำพอจนต้องเลิกใช้ ทำให้มีผู้ติดเชื้อหลงรอดเข้าไปในชุมชนจำนวนมาก ต่อมาอินเดียหันไปใช้ชุดตรวจของบริษัท โรเช่ (Roche Dianostics) จากสวิตเซอร์แลนด์ และ Elisa ที่ผลิตเองในประเทศอินเดียจึงสามารถตรวจได้ดีขึ้น
นายกรัฐมนตรี นเรนทร โมดิ สั่งปิดเมืองล้อคดาวน์ทั้งประเทศ โดยมีการรับมือเหตุฉุกเฉินอย่างเข้มงวดทันท่วงที จนทำให้อัตราเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อโควิดของอินเดียอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ตอนปลายปี 2563 จำนวนผู้ติดเชื้อในอินเดียมีแนวโน้มลดลง จนมีเตียงว่างมากในโรงพยาบาล แต่ในเดือนมีนาคม 2564 ผู้ติดเชื้อกลับพุ่งขึ้นสูงอีกเป็นวันละกว่า 8 หมื่นคน โดยมีคนอายุต่ำกว่า 40 ปีติดเชื้อมากขึ้น พบมากที่รัฐมหาราษฎร์เกรละ ปัญจาบ กรณาฎกะ คุชราชอันตรประเทศ ทมิฬนาดู หรยาณาและมัธยประเทศ ผู้ติดเชื้อครึ่งหนึ่งพบในหกเมืองสำคัญ ได้แก่ มุมไบ เดลี อะห์มดาบาด เจนไน ปูเน และ กัลกัตตา
เหตุผลสำคัญที่โรคร้ายกลับมาระบาดอีกครั้ง เพราะการผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดของรัฐบาล และการที่ถูกกักตัวอยู่ในบ้านเป็นเวลานานทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งละเลยไม่ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค เช่น การสวมใส่หน้ากาก หรือการเว้นระยะห่างทางสังคม มีการอนุญาตให้จัดพิธีแต่งงาน ประชุม ฉลองเทศกาล การหาเสียงเลือกตั้ง แข่งขันคริกเกต และดูภาพยนตร์โดยไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัย ผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่อยู่กลางเมืองและชุมชนแออัด เมื่อตอนที่ผู้ติดเชื้อในอินเดียลดลงมีการชูธงว่าประเทศอินเดียได้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโควิดไปได้ราว 65 ล้านคน เทศกาล กุมภเมลา ที่ชาวฮินดูหลายล้านคนลงอาบน้ำสะเดาะเคราะห์ในแม่น้ำคงคาพร้อมกัน ที่เมือง หริดวาร์ ในเดือนเมษายน 2564 โดยไม่เว้นระยะห่างและหลายคนไม่สวมหน้ากากอนามัย ทำให้มีคนติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นกว่า 1,700 คน การหาเสียงเลือกตั้งและความเชื่อที่ว่าโควิดไม่ทำอันตรายต่อคนหนุ่มสาว ทำให้ผู้ติดเชื้อโควิดอินเดียพุ่งแซงบราซิลจนมากเป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา
มีการตรวจพบโควิดสายพันธุ์เบงกอลตะวันตก (West Bengal Variant B.1.618, E484K + D614G) และโควิดสายพันธุ์อินเดีย หรือโควิดกลายพันธุ์คู่ (Double MutantB.1.617, E484Q + L452R) ที่เพิ่งตรวจพบเมื่อเดือนตุลาคม 2563 ซึ่งสามารถหลบเลี่ยงระบบคุ้มกันแอนติบอดี้ในร่างกายมนุษย์ ถึงแม้ติดต่อกันยากกว่าโควิดสายพันธ์อังกฤษ B.1.1.7 ที่ทำให้ยาและวัคซีนที่เคยใช้ได้ผลกับโควิดสายพันธุ์จีนกลับมีประสิทธิภาพลดลง การที่วัคซีนบางชนิดมีอายุการป้องกันหลังฉีดเพียง 6 เดือน และไม่ป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ทำให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วหรือคนที่เคยติดเชื้อแล้วบางคน ติดเชื้อรอบใหม่ได้อีก มีการตรวจพบว่า โควิดสายพันธุ์เบงกอลและอินเดียได้แพร่ระบาดไปหลายประเทศ เช่น กัมพูชา สิงคโปร์ อังกฤษ ออสเตรเลียเบลเยี่ยมเยอรมนี โรมาเนีย ไอร์แลนด์ นามิเบีย และสหรัฐอเมริกา
จำนวนผู้ติดเชื้อในอินเดียที่เพิ่มสูงขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จนทุบสถิติ ทำให้ประชาชนอินเดียจำนวนมากพากันไปฉีดวัคซีนจนเกิดการขาดแคลนวัคซีนป้องกันโควิดในโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งๆที่อินเดียเป็นประเทศผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ร้อยละ 60 ของโลก โดยบริษัท ซีรั่มอินสติติวท์ ออฟ อินเดียผลิตวัคซีน โควิชีลด์ (Covishield) ของออกซฟอร์ด/แอสตรา เซนเนก้า (AZ) และบารัตไบโอเทคผลิตวัคซีนโคแวกซีน (CovaxinBBV152) เพราะบริษัทผู้ผลิตวัคซีนต่างๆ นั้นมีสัญญาผูกพันการส่งออกวัคซีนไปขายยังประเทศต่างๆที่วางมัดจำไว้แล้ว มีปัญหาการขาดแคลนขวดแก้วบอโรซิลิเกต และวัตถุดิบในการผลิตวัคซีนที่ต้องซื้อจากสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ประกอบกับได้เกิดเพลิงไหม้ที่โรงงานผลิตวัคซีนในเมืองปูเน่ ดังนั้น รัฐบาลอินเดียจึงสั่งระงับการส่งออกยาเรมเดสิเวียรและวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกา เพื่อสำรองไว้ใช้เองในประเทศก่อน การระงับการส่งออกยาและวัคซีนของอินเดียมีผลกระทบกับหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศยากจนในเอเชีย แอฟริกา รวมทั้งอังกฤษและบราซิล การสั่งระงับการส่งออกวัคซีนเพื่อไปขายให้รัฐบาลอินเดียด้วยราคาต่ำ ทำให้บริษัทผู้ผลิตวัคซีนของอินเดียขาดรายได้ตามที่เคยวางแผนไว้ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาประกาศจะส่งวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่สหรัฐห้ามใช้แล้วไปให้อินเดีย
ออกซิเจนสำหรับผู้ป่วยและถังออกซิเจนกลายเป็นสิ่งหายาก ทำให้มีผู้ป่วยหนักเสียชีวิตเพราะขาดออกซิเจนจำนวนมาก จนต้องเพิ่มการขนส่งออกซิเจนทางรถไฟและเครื่องบิน และสร้างโรงงานผลิตออกซิเจนแบบ Pressure swing adsorption เพิ่มกว่า 500 แห่ง โดยประเทศไทยได้ส่งออกซิเจนเหลวขึ้นเครื่องบินทหารอินเดียไปช่วยเยอรมนี อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และไต้หวัน ส่งเครื่องผลิตออกซิเจนฉุกเฉินไปให้
หลายประเทศสั่งห้ามคนและเครื่องบินจากอินเดียเข้าประเทศ สหรัฐอเมริกาสั่งให้คนอเมริกันรีบเดินทางออกจากอินเดีย รัฐบาลไทยส่งเครื่องบินไปรับทูตทหารไทยในอินเดียที่ติดโควิดลับมารักษาในเมืองไทย เศรษฐีอินเดียจำนวนมากใช้เครื่องบินส่วนตัวบินหนีโควิดไปยังประเทศอื่น เช่น สหรัฐอิมิเรตส์ ฮ่องกง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี