การสู้โรคห่าในอดีต
จากเหตุการณ์ที่ไทยเผชิญกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่กำลังแพร่กระจายทั่วโลกนั้น กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศเกี่ยวกับ โรคติดต่ออันตราย (ฉบับที่ ๓) ระบุว่าโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19) มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หอบเหนื่อย หรือมีอาการของโรคปอดอักเสบ ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการระบบทางเดินหายใจล้มเหลวและอาจถึงขั้นเสียชีวิตนั้น หากย้อนอดีตไปถึงการระบาดของโรคร้ายแรงในสยามแล้วมีความน่าสนใจที่เป็นบทเรียนสำคัญ ซึ่งต้องจดจำกันว่า ในกรุงศรีอยุธยา ได้เกิด “ความตายสีดำ” (Black Death)มาแล้ว จากการระบาดของกาฬโรค หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “โรคห่า” ซึ่งระบาดไปหลายประเทศทั่วโลกไม่ต่างกัน
สืบเนื่องจากการเดินทางติดต่อค้าขายทางสำเภากับชาติจีนมาแต่ครั้งก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยา กล่าวคือเมื่อราว พ.ศ.๑๘๙๐ ในช่วงก่อนการตั้งกรุงศรีอยุธยานั้น เป็นเวลาเดียวกับการเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก จากหมัดหนูที่ตัวแพร่เชื้อไปกับการเดินทางที่ติดต่อค้าขายในดินแดนต่างๆ จนทำให้มีคนป่วยกาฬโรคตาย และถูกเรียกว่า “ความตายสีดำ” ก็คือ ร่างกายผู้ป่วยจะมีสีดำคล้ำอันเนื่องมาจากเซลล์ผิวหนังที่ตายไป ส่วนอาการของผู้รับเชื้อกาฬโรคจะมีแผลขนาดเท่าไข่ไก่หรือผลส้มตรงต่อมน้ำเหลืองต่างๆ จากนั้นจะมีไข้สูง ปวดตามแขนและขา เมื่ออาการหนักจะเจ็บปวดทุกข์ทรมาน กระทั่งเสียชีวิต
กระบองแดงเก็บสมุนไพร
ซึ่งจีนนั้นเกิดระบาดในราว พ.ศ.๑๘๗๖ จากนั้นก็แพร่สู่อุษาคเนย์ โดยมีหมัดหนูเกาะติดตัวหนูอยู่ใต้ท้องสำเภา เมื่อสำเภาเทียบท่าจอดขนถ่ายสินค้าที่แห่งใด หนูใต้ท้องสำเภาก็เอาหมัดหนูออกไปแพร่เชื้อในบ้านเมืองแห่งนั้นตลอดเส้นทางกรุงศรีอยุธยาก็เช่นกัน เกิดกาฬโรคระบาดดังปรากฏในตำนานและพงศาวดารเรื่องพระเจ้าอู่ทองหนีโรคห่า แล้วสถาปนากรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ.๑๘๙๓ ช่วงแรกนั้นเกิดกาฬโรคระบาด อยู่บริเวณเมืองอโยธยาแถววัดพนัญเชิงและวัดใหญ่ชัยมงคล ทางตะวันออกของเกาะเมือง กาฬโรคนั้นได้คร่าชีวิตทั้งคนชั้นสูง เจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการ และไพร่ฟ้าประชาราษฎรไปเป็นจำนวนมากผู้คนที่รอดตายจากกาฬโรคจึงต้องสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นใหม่ มีร่องรอยในพระราชพงศาวดารว่ากษัตริย์ยุคนั้นได้ย้ายตำหนักจากที่เดิมไปอยู่ที่ใหม่ เรียกว่า “เวียงเหล็ก” บริเวณวัดพุทไธสวรรย์
เมื่อกาฬโรคระบาดสิ้นฤทธิ์หมดแล้วตามธรรมชาติในปี พ.ศ.๑๘๙๓ จึงมีการสถาปนาเมืองใหม่บนตัวเกาะว่า “กรุงศรีอยุธยา” การระบาดของโรคนั้นไม่ได้หยุดแค่กาฬโรคเท่านั้น ต่อมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ก็เกิดการระบาดของ “อหิวาตกโรค” ในปี พ.ศ.๒๓๖๓ เรียกกันทั้งโรคป่วง และโรคลงราก ด้วยมีอาการรุนแรงและลุกลามจนคร่าชีวิตผู้คนอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เหตุการณ์ครั้งนั้นในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใกล้เคียงมีผู้เสียชีวิตมากราว ๓๐,๐๐๐ ศพ และต่อมายังเกิดระบาดอีกในพ.ศ.๒๓๙๒ ช่วงปลายรัชกาลที่ ๓ อหิวาตกโรคนี้ระบาดอยู่ในกรุงเทพฯ อยู่ราวหนึ่งเดือน
การรักษาผู้ป่วยในอดีต
หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษรายงานข่าวว่ามีการนำผู้เสียชีวิตไปที่วัดสระเกศ ๒,๗๖๕ ศพ วัดตีนเลนหรือวัดบพิตรพิมุข ๑,๔๘๑ ศพ และวัดบางลำพู หรือวัดสังเวช๑,๒๑๓ ศพ รวมแล้วมีผู้เสียชีวิตกว่า ๕,๐๐๐ ศพ ต่อมาเกิดอหิวาตกโรคกลับมาระบาดอีกครั้งเมื่อพ.ศ.๒๔๑๖ในรัชกาลที่ ๕ ครั้งนี้เพียงเดือนเศษ หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษได้รายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกมีมากถึง ๖,๖๐๐ ศพ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการรักษาโรคผ่านวิชาการแพทย์สมัยใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นยังไม่มั่นคง และเป็นความรู้ใหม่ถึงสุขอนามัย
ซึ่งสรุปได้ว่า “อหิวาตกโรค” นั้น แพร่เชื้อจากการสัญจรข้ามประเทศที่ผ่านเข้า-ออกได้อย่างง่ายดาย จนทำให้มีชาวต่างประเทศพาโรคติดต่อเข้ามาโดยไม่รู้ตัว จึงเป็นเหตุให้เมื่อปฏิรูปการปกครองจึงให้ความสำคัญกับการแพทย์และการสาธารณสุข ตั้งโอสถศาลา ตั้งโรงพยาบาล ซึ่งทั้งยาสมุนไพรแบบเดิมและแพทย์สมัยใหม่เพื่อป้องกันและรักษาการระบาดของโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดต่างๆ และโรคเอดส์ แต่เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ ได้การเกิดระบาดของโควิด-๑๙ ซึ่งเป็นไวรัสตัวใหม่ที่ร้ายแรงในสยามและแพร่หลายไปทั่วโลก ดังนั้น การป้องกันรักษาจึงทำให้ต่างต้องค้นหามาตรการหยุดเชื้อและสร้างวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ครั้งนี้เป็นการระบาดทั่วโลกที่มีความสูญเสียมากที่สุด ด้วยเป็นเชื้อไวรัสที่เกิดแล้วพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ตลอดเวลา..ขอให้ทุกคนร่วมกันป้องกันและอยู่บ้านหยุดเชื้อ เพื่อชีวิตตามกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี