อาทิตยนี้ได้ตามรอยสยามไปถึงการศึกษา “ผ้าอยุธยา” ที่เกิดขึ้นจากความสนับสนุนของคณะกรรมการกิจการมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ซึ่งมี ดร.ดุลย์พิชัย โกมลวานิช เป็นประธานคณะกรรมการฯนั้นได้ทำให้เกิดภารกิจการศึกษา ผ้าอยุธยา-ผ้าลายอย่าง มรดกศิลป์กรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นเรื่องยากยิ่งในการถอดบทเรียนเฉพาะเรื่อง แต่ด้วยการสนใจใฝ่รู้ของ ดร.สิทธิชัย สมานชาติ รองประธาน World Crafe Council-Asia Pacific Region For Southeast Asia ซึ่งเป็นผู้รับทุน ICCR จากรัฐบาลอินเดียในการศึกษาออกแบบสิ่งทอในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกนั้น จึงทำให้สามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้ที่ได้จากการเดินทางเก็บข้อมูลเรื่องสิ่งทอไว้มากมาย อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายผู้รู้เฉพาะเรื่องจากแหล่งผลิตผ้าแหล่งสะสม คือ อินเดีย และญี่ปุ่น จึงทำให้การศึกษาข้อมูลความรู้เรื่องผ้าอยุธยา หรือผ้าลายอย่างราชสำนักอยุธยานั้นมีความสำเร็จในการศึกษาค่อนข้างดีมาก นับเป็นการถอดบทเรียนที่น่าสนใจ
การแต่งกายขุนนางอยุธยา
จากการค้นหาร่องรอยผ้าลายอย่างของสมัยอยุธยาตามเส้นทางการค้าที่ทำให้เกิด “ผ้าลาย” ตามแบบอย่างที่ได้ออกแบบลายว่าจ้างผลิตซึ่งมีธรรมเนียมการค้ากับการแลกเปลี่ยนสินค้าผ้ากับช้างสยามเกิดขึ้น จนในที่สุดมีการว่าจ้างผลิตผ้าลายจากราชสำนักอยุธยาโดยติดต่อแหล่งผลิตผ้าลายในอินเดียโบราณ นอกจากนี้ ยังศึกษาไปถึงการออกแบบองค์ประกอบลวดลายของผ้าเพื่อใช้ในสังคมศักดินาที่ประกอบฐานันดรศักดิ์ในราชสำนักอยุธยา แล้วยังติดตามไปยังแหล่งผ้าลายอย่างอยุธยาที่เป็นคลังสะสมในญี่ปุ่น และแหล่งสะสมผ้าในไทยด้วย ก่อนที่จะวิเคราะห์การเสื่อมสูญแลการฟื้นฟูผ้าลายอย่างอยุธยาให้มีบทบาทในสังคมและมีการส่งเสริมภูมิปัญญาที่ทำให้เกิด “ผ้าอยุธยา” หรือ “ผ้าลายอย่าง” ตามแบบที่ราชสำนักอยุธยา ส่งผลิตจากอินเดียเข้ามาใช้ในอดีต ในสมัยอยุธยานั้นนอกจากผ้าที่ทอขึ้นใช้เองแล้ว ยังมีการสั่งซื้อผ้าจากต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศเปอร์เซีย, อินเดีย และจีน ผ้าเหล่านี้เรียกว่า “ผ้านอก” เฉพาะผ้าที่นำเข้าจากประเทศอินเดียและเปอร์เซีย ก็มักจะเรียกชื่อเมืองที่ผลิตเป็นชื่อผ้า เช่น ผ้าอัตลัด มาจากเมืองอัตลัดในอินเดีย หรือเป็นชื่อจากภาษาเดิมตามประโยชน์การใช้สอย เช่น ผ้าสุจหนี่ ผ้าเยียรบับ อินเดียนั้นเป็นประเทศหนึ่งที่รับจ้างผลิตและนำเข้าผ้ามาจำหน่ายในอยุธยา ช่างไทยจะออกแบบลวดลายส่งไปว่าจ้างช่างอินเดียในประเทศอินเดียให้เขียนและพิมพ์ตามต้นแบบซึ่งจะพบว่ามีลวดลายการเขียนเป็นลายกระเบื้อง ลายเครื่องถ้วย ส่งไปให้ช่างจีนทำในประเทศจีนนั้นใช้ลวดลายใกล้เคียงกัน และมีการผสมผสานทั้งลวดลายไทยและอินเดียส่งกลับมาขายในอยุธยาจึงเรียกผ้านี้ว่า “ผ้าลายอย่าง” และ “ผ้าลายนอกอย่าง” ในเวลาต่อมา กล่าวคือ ผ้าอยุธยาที่พบมักเป็นผ้านุ่งที่มีลายเป็นดอกดวงต่างๆ และผ้าพิมพ์ลายตามแบบที่สั่งให้พ่อค้าชาวอินเดียไปจัดทำตาม แบบและลายไทยที่นิยมสั่งนั้นได้แก่ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ลายพรหมก้านแย่ง ลายดารารายลายแก้วชิงดวง ลายกินรี เป็นต้น ผ้าพิมพ์ที่มีลายตามแบบลายไทยดังกล่าว เรียกว่า ผ้าลายอย่าง
การพิมพ์ผ้าลายอย่างอยุธยา
ต่อมาพ่อค้าชาวอินเดียได้คิดทำลายผ้าพิมพ์ขึ้น ตามแบบลายไทย แต่มีการนำเอาแบบลวดลายผ้าอินเดียมาผสมแต่งเติมเข้ากับลายไทย ผ้าลายดังกล่าวนี้จึงเรียกว่า ผ้าลายนอกอย่าง สำหรับลายไทยเดิมอาจจะออกแบบเพื่อใช้เป็นลายผ้ามาก่อนแล้ว จากการที่มีการศึกษาวิจัยลายพบว่าภาพจิตรกรรมฝาผนัง ใน โบสถ์ วิหาร ตลอดจนขื่ออาคารนั้นที่ตกแต่งด้วยลายดังกล่าวนั้นเข้าใจว่าเดิมคงตกแต่งโดยใช้ผ้าพิมพ์ลายอย่างหุ้มคลุมส่วนต่างๆ ในอาคาร เพื่อความสวยงาม ต่อมาเมื่อผ้าชำรุดจึงเกิดการเขียนลายผ้านั้นด้วยสีต่างๆ ลงบนขื่อหรือเพดานแทน เพื่อจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนหรือซ่อมแซม ลายบ่อยๆ ทำให้ลายประดับอาคารมีรูปแบบคล้ายลายผ้าอยู่มากมายหลายแห่ง การผลิตผ้าพิมพ์ลายนี้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ชาวอินเดียสืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนานในอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุประมาณ ๔,๐๐๐-๒,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ถือเป็นแหล่งผลิตสิ่งทอสำคัญของโลกและส่งผลให้มีอุตสาหกรรมสิ่งทอในชาติต่างๆ เช่นเดียวกัน ผ้าลายอย่างราชสำนักอยุธยา ถือเป็นผ้าอยุธยาหนึ่งเดียวเช่นกันสนใจหนังสือ ผ้าอยุธยา เล่มนี้พิมพ์น้อยมาก ใครจะช่วยพิมพ์เผยแพร่กัน ติดต่อคณะกรรมการครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี