เมื่อเด็กป่วยเป็นโรคมะเร็งจะพลาดโอกาสดีในการใช้ชีวิตวัยเด็กที่แสนจะสุขสดใสเหมือนเด็กทั่วไป ข้อมูลจาก ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง เลขาธิการ กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์พระเจ้า
วรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ และ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิจัย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยว่า โรคมะเร็งในเด็กเป็นได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 15 ปี พบว่ามีเด็กที่เป็นโรคมะเร็งประมาณ 100 คน จากประชากรเด็กในประเทศไทย 1,000,000 คนซึ่งช่วงอายุที่พบมากที่สุดคือเด็กเล็กอายุประมาณ 0-5 ปี หรือคิดคร่าวๆ ก็คือ ในแต่ละเดือนจะมีเด็กไทยที่เป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นประมาณ 80 คน ที่พบบ่อยที่สุดคือ มะเร็งเม็ดเลือดขาว รองลงมาคือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งสมอง มะเร็งชนิดก้อนของมะเร็งต่อมหมวกไต และมะเร็งไต
สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งในเด็ก ส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ พบแค่ประมาณร้อยละ 1-3 เท่านั้น ที่อาจมาจากกรรมพันธุ์ เช่น โรคมะเร็งจอภาพตาของนัยน์ตา ส่วนชนิดอื่นยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าอะไรเป็นต้นเหตุ ไม่เหมือนกับโรคมะเร็งในผู้ใหญ่สามารถบอกสาเหตุได้และป้องกันได้ เช่น บุหรี่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปอด เป็นต้น ส่วนสาเหตุอื่นๆ เช่น สารพิษต่างๆ หรือรังสีที่พบว่าเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งในผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้เป็นสาเหตุของมะเร็งในเด็กและไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูว่าดีหรือไม่ดีอีกด้วย
โรคมะเร็งในเด็กมีโอกาสรักษาหายได้มากกว่าผู้ใหญ่เป็นอย่างมาก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมของเซลมะเร็งของโรคมะเร็งในเด็กมีการเปลี่ยนแปลงไม่มาก ทุกๆ เซลล์มีลักษณะคล้ายคลึงกันในคนๆเดียวกัน จึงตอบสนองต่อการรักษาเหมือนกันและตอบสนองได้ดีมากกว่าผู้ใหญ่
โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemia)เป็นโรคมะเร็งที่พบมากที่สุดในเด็ก แบ่งเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรัง ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 90 จะเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน โดยร้อยละ 80 ของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันในเด็กเป็นชนิด acute lymphoblastic leukemia (ALL) ส่วนอีกประมาณร้อยละ 20 เป็นชนิด acute myeloid leukemia (AML) ซึ่งในปัจจุบันอัตราการรอดชีวิตที่หมายถึงการหายขาดจากโรคของ ALL มีได้ประมาณ 80% จากการรักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัด ส่วน AML มีอัตราการรอดชีวิตประมาณ 50% จากการรักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัด แต่ถ้าได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูกจะมีโอกาสรอดชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 80%เช่นเดียวกัน
ปัญหาคือ การปลูกถ่ายไขกระดูกหรือสเต็มเซลล์ ประมาณ 30% ของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยใหม่ เป็นกลุ่มที่มีโอกาสเป็นซ้ำได้ง่าย ซึ่งในจำนวนนี้มีเพียง 10% เท่านั้นที่จะได้รับการปลูกถ่าย ภายใต้ข้อจำกัดที่ว่า ต้องมีผู้บริจาคที่เข้ากันได้ การใช้สเต็มเซลล์ซึ่งได้ทั้งการใช้ของผู้ป่วยเองและผู้บริจาค แต่อุปสรรคที่ใช้เซลล์ของผู้ป่วย คือ หากเป็นมะเร็งที่ต้องรักษาหนัก เซลล์จะเริ่มล้าและมีปัญหา หรือปนเปื้อนโรคมะเร็ง แม้ว่าปัจจุบันจะมีการบริจาคสเต็มเซลล์ แต่ความเข้ากันได้อยู่ที่ราว 1 ใน 30,000 หรือหากเป็นญาติกันโอกาสเข้ากันได้อยู่ที่ราว 25% การหาให้เข้ากันได้ยากและต้องแข่งกับเวลา หากชะลอการรักษาไปนานๆ มีโอกาสเป็นซ้ำได้ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ดึงเซลล์ออกมาตัดแต่งยีนและนำใส่กลับเข้าไป จึงกลายเป็นเทคโนโลยีเซลล์และยีนบำบัด
เทคโนโลยีเซลล์และยีนบำบัด
การรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว ตามมาตรฐานแล้วคือ การทำเคมีบำบัด หรือทำการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ขณะที่ผู้ป่วยมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ในอนาคต ปัจจุบันมีแนวทางการรักษาแบบใหม่ด้วย เทคโนโลยี Chimeric antigen receptor (CAR) T-cell เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงในการนำเอาเม็ดเลือดขาวของผู้ป่วยเองหรือของคนอื่นที่ใกล้ชิดกันมาตัดต่อพันธุกรรม เพื่อให้สามารถเข้าหาและทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็ง โดยไม่ทำลายเซลล์ปกติ ปัจจุบันมีหลายบริษัทในต่างประเทศได้ผลิตจำหน่ายโดยคิดค่าใช้จ่ายครั้งละ 12-15 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่มีจำหน่ายในเมืองไทย ถ้าผู้ป่วยไปรักษาในต่างประเทศด้วยเทคโนโลยีนี้ ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากถึง 20-30 ล้านบาท ด้วยจำเป็นต้องเดินทางไปรักษาในต่างประเทศ เพราะโรงงานผลิตกับผู้ป่วยต้องอยู่ที่เดียวกัน แต่หากทำได้ในประเทศไทย จะสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้กว่า 10 เท่า
สำหรับงานวิจัยที่ทางคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ประสบความสำเร็จและใช้ในการรักษาได้จริงในคนไข้แล้ว คือ CAR CD19 T cell ที่ใช้ในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดลิมโฟบลาสติกบีเซลล์ (B cell acute lympho blastic leukemia) และมะเร็งต่อมน้ำเหลืองลิมโฟมาชนิดบีเซลล์ (B cell lymphoma) ต่อไปคือ การอัพสเกลในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งอื่นๆ อย่างน้อยในผู้ป่วยที่ดื้อยาสามารถทำให้โรคสงบได้ เนื่องจากมะเร็งเม็ดเลือดขาวมีโอกาสที่กลับมาเป็นซ้ำได้เพราะดื้อยา แต่ก็มีโอกาสรักษาหาย หรือไม่หายก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในระยะยาวนานขึ้น
กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ปัจจุบันได้ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งในเด็กที่ยากไร้ทั่วประเทศในรพ.กว่า 20 แห่งทั่วประเทศ รูปแบบในการให้ความช่วยเหลือของกองทุนโรคมะเร็งในเด็กฯ คือช่วยค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษา รวมทั้งค่ายา ค่าเดินทางมาตรวจรักษา ค่าที่พัก ตลอดจนเวชภัณฑ์ต่างๆ รวมไปถึงการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายที่สูง เช่น การปลูกถ่ายไขกระดูก นอกจากการรักษาโรคมะเร็งในเด็กให้หายขาดมากขึ้นแล้ว ทางกองทุนฯ ยังได้ช่วยเหลือให้เด็กมีโอกาสทุพพลภาพน้อยลง เช่น ได้มอบเงินค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์แขน-ขาโลหะที่ใช้แทนกระดูกที่เป็นมะเร็งที่ถูกตัดออก ทำให้เด็กไม่ต้องถูกตัดแขนขาออกไป ผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคได้ที่บัญชี “กองทุนโรคมะเร็งในเด็กใน
พระอุปถัมภ์ฯ” SCB สาขาอ่อนนุช เลขที่บัญชี 133-2-08742-3 โทร.02-7183800 ต่อ 123 ใบเสร็จสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ รายละเอียดที่ http://www.thaichildrencancerfund.org/
นับตั้งแต่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถทรงรับกองทุนโรคมะเร็งในเด็กฯไว้ในพระอุปถัมภ์ จวบจนปัจจุบันเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ที่ทรงมีพระเมตตาช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเด็กที่ยากไร้ทั่วประเทศ นับได้ว่ากองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ฯมีคุณูปการอันสูงยิ่งต่อวงการแพทย์ นอกจากช่วยชีวิตผู้ป่วยที่ยากไร้แล้ว ยังถือเป็นกองทุนตั้งต้นสำหรับงานศึกษาวิจัยเพื่อการรักษาในอนาคตด้วย
13 กรกฎาคม นี้ ตรงกับวันคล้ายวันประสูติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนานและขอถวายพระพรให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววัน
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี