ซุ้มเมิองลับแล
เรื่องของคนเมืองลับแลนั้นมีเรื่องเล่ากันอยู่ทั่วไปหลายแห่ง แต่ที่น่าสนใจมาก คือ เรื่องคนลับแลของอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งมีเรื่องเล่าว่า เป็นเมืองที่เกิดขึ้นครั้งก่อนตั้งเมืองสุโขทัยด้วย นางสิขรเทวี ธิดากษัตริย์ขอม ผู้เป็นมเหสี พ่อขุนผาเมือง นั้นได้เผาบ้านเรือนหนีหายเข้าไปอยู่ในป่า แล้วสาปให้เป็นเมืองลับแล ด้วยเหตุที่ชุมชนคนลับแลได้ถูกยกย่องให้เป็นชุมชนต้นแบบในการเที่ยวชุมชนยลวิถี...คุณธรรมของกระทรวงวัฒนธรรมนั้น จึงติดตามการเปิดชุมชนต้นแบบคุณธรรมแห่งนี้ไปกับ ดร.วิภา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมและคณะ ไปสืบค้นชุมชนคน “ลับแล” ซึ่งมีข้อสันนิษฐานของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า เดิมชาวเมืองแพร่ เมืองน่าน หนีข้าศึกและความเดือดร้อนมาซุ่มซ่อนตั้งชุมชนอยู่บริเวณนี้ เนื่องจากเป็นป่ารก หลบซ่อนตัวง่ายและภูมิประเทศเป็นเมืองอยู่ในหุบเขามีที่เนินสลับกับที่ต่ำ คนต่างเมืองนั้นถ้าไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศจะหลงทางได้ง่าย อีกตำนานเล่าว่าด้วยภูมิประเทศเมืองลับแลเป็นป่าเขาสลับซับซ้อนมีบรรยากาศเยือกเย็นยามพลบค่ำแม้ดวงอาทิตย์ยังไม่ตกดินก็มืดครึ้มแล้ว เพราะมีดอยม่อนฤาษีสูงใหญ่เป็นฉากกั้นแสงอาทิตย์ ป่านี้เรียกกันเดิมว่า “ลับแลง” คืออาทิตย์ลับแสง ต่อมาเรียกเพี้ยนเป็น “ลับแล” ที่เล่ากันสนุกก็เรื่องหลงทางในป่านั้นแหละมีนิทานเล่าขานกันเป็นเรื่องเป็นราวว่า “หนุ่มเมืองใต้ (จากเมืองทุ่งยั้ง) แอบเดินทางหลงป่าไปทางเหนือได้เห็นสาวสวยออกจากเมืองลับแลมาซ่อนกุญแจไว้ ชายหนุ่มเกิดไปแอบเห็นเข้าจึงขโมยกุญแจไว้และใช้เล่ห์กล มนต์อุบาย เกี้ยวพาราสีจนสาวหลงเชื่อพาไปอยู่กินเป็นสามีในเมืองลับแลชายหนุ่มได้เห็นความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ของเมืองและมีแต่ผู้หญิงสาวสวยทั้งหมด แต่ด้วยเหตุเป็นเมืองลี้ลับคนภายนอกไม่สามารถเข้าไปในเมืองได้ชาวเมืองลับแลเป็นผู้ยึดมั่นในธรรมปฏิบัติจึงมีคุณธรรมสำคัญคือไม่กล่าววาจาเท็จ ชายหนุ่มกับสาวงามเมืองลับแลมีลูกด้วยกันจนวันหนึ่งหญิงผู้เป็นแม่ไปธุระจึงให้พ่อชายหนุ่มนั้นอยู่กับลูกลูกร้องไห้หาแม่พ่อชายหนุ่มจึงพูดหลอกลูกว่า แม่มาแล้วเพื่อให้ลูกหยุดร้องไห้ ชาวลับแลได้ยินคำโกหกของพ่อชายหนุ่มเมืองทุ่งยั้งจึงพากันขับไล่พ่อชายหนุ่มออกจากเมือง แม้เมียจะรักผัวปานใดก็ช่วยไม่ได้ ด้วยความอาลัยรักผัวกลัวจะลำบากจึงแอบเอาขมิ้นใส่ย่ามและกำชับว่าให้เปิดที่บ้าน ห้ามดูระหว่างทางแต่เมื่อเดินทางพ้นเมืองลับแลแล้วชายหนุ่มก็อยากรู้ว่าเมียลับแลให้อะไรมาจนหนัก จึงว่าเอาออกมาดูเห็นเป็นขมิ้นเต็มย่ามจึงทิ้งระหว่างทางบอกเส้นทางเข้าเมืองลับแลจนเกือบหมดเหลืออยู่ไม่กี่หัว ครั้นกลับถึงบ้านจึงเล่าเรื่องราวที่หายไปให้ญาติและเพื่อนบ้านพร้อมกับนำขมิ้นที่ติดย่ามออกมายืนยันแต่ปรากฏว่าขมิ้นนั้นเป็นก้อนทองคำ ด้วยความเสียดายจึงชวนญาติและเพื่อนบ้านออกตามรอยเก็บขมิ้นที่ขว้างทิ้งจนไม่มีร่องรอยเส้นทางเข้าเมืองลับแล ทำให้ปิดมิติของเมืองนี้ไป ปัจจุบันอำเภอลับแล คงมีโบราณสถานที่น่าสนใจคือ พระธาตุทุ่งยั้ง พระแท่นศิลาอาสน์ และเวียงเจ้าเงาะ ที่ต้องติดตามเล่าต่อ อำเภอลับแลเป็นแหล่งหัตถกรรม เช่น ผ้าตีนจกและไม้กวาด แล้วมีอาชีพ ทำนา ทำสวน ทำไร่ ที่รู้จักกันดีคือสวนทุเรียน สวนลางสาด บนภูเขา จึงทำให้ผู้ชายอำเภอนี้ใช้ชีวิตในสวนเป็นเวลานาน ทิ้งให้ภรรยาและลูกๆ หลานๆ อยู่เฝ้าบ้าน คนผ่านไปมาจึงพบแต่ผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่จนมีชื่อเรียกว่าเป็น “เมืองแม่ม่าย” คนอำเภอลับแลนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยล้านนาหรือคนเมือง ๖ ตำบลในจำนวน ๘ ตำบล คือ ตำบลฝายหลวง ตำบลแม่พูล ตำบลนานกกก ตำบลชัยจุมพลเทศบาลตำบลศรีพนมมาศและตำบลด่านแม่คำมัน อีก ๒ ตำบลคือ ตำบลทุ่งยั้งและตำบลไผ่ล้อม นั้นเป็นชาวสุโขทัยเก่า จึงทำให้มีภาษาพูดและวิถีชีวิตให้เป็นเสน่ห์ของชุมชนแห่งนี้
ชาวพื้นเมืองลับแลในอดีต
จากหลักฐานทางโบราณคดีนั้นอนุมานว่า เมืองทุ่งยั้ง เดิมนั้นเป็นชุมชนขนาดใหญ่ของพวกละว้าและขอม มีความเจริญรุ่งเรืองมาช้านาน ด้วยพบกลองมโหระทึกและมีดพร้าทำด้วยสำริด ภายหลังมีคนจากแคว้นโยนกเชียงแสน พากันมาตั้ง “บ้านเชียงแสน” ให้เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร ในยุคสร้างบ้านแปงเมืองขึ้นตามนโยบาย “เก็บผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมือง” เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในคราวเดียวกัน จึงทำให้เมืองลับแลได้วิถีใหม่ของตนเองในบริบท“ต้องรักษาสัจวาจา” เท่านั้นจึงอยู่เมืองนี้ได้..นี่คือชุมชนคนลับแลที่สืบสานต่อยอดจากตำนานชาวลับแลมาจนถึงพระศรีพนมมาศผู้ย้ายเมืองจากม่อนจำศีลมาตั้งอำเภอลับแลในสมัยรัชกาลที่ ๕ ขึ้น จนมีอาหารการกินที่มีจุดเด่นจนน้ำลายสอหลายเมนู...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี