ทะเลแหวก
การเที่ยวชุมชนยลวิถีคุณธรรมนั้นยังไม่สิ้นสุดได้ง่าย ด้วยมีชุมชนสำคัญเกิดขึ้นอยู่ทั่วทุกภูมิภาค แต่ที่เป็นต้นแบบให้เป็นแบบอย่างนั้นก็เกิดขึ้นมีอยู่ไม่น้อย อาทิตย์นี้ขอตามรอยสยามชมภูมิบ้านภูมิเมืองไปกับ คณะของกระทรวงวัฒนธรรม โดย ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงฯ ซึ่งเดินทางไปเปิด ชุมชนต้นแบบ ที่ชุมชนปากน้ำประแส ตำบลปากน้ำประแส อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เดิมชุมชนแห่งนี้มีอยู่เก่าตามริมแม่น้ำมาตั้งแต่สมัยอยุธยา คือ มีแม่น้ำประแสแบ่งเขตตำบล และไหลออกสู่ทะเล หลักฐานการเป็นชุมชนดั้งเดิมนั้น คือ วัดตะเคียนงาม ที่มีดงต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา โดยเฉพาะต้นตะเคียนขนาดใหญ่ที่ประกาศให้เป็น “รุกข มรดกของแผ่นดิน ใต้ร่มพระบารมี” มีอายุกว่า ๔๐๐ ปี ที่ยังเหลืออยู่ ๒ ต้น ชาวบ้านเรียกว่าต้นตะเคียนคู่เจ้าพ่อเจ้าแม่ ซึ่งมีเรื่องเล่าว่า ดงต้นไม้ตะเคียนแห่งนี้ใช้เป็นหมุดหมายสำคัญในการนำเรือเข้าฝั่งของชาวประมง และมีเรื่องเล่าในจดหมายเหตุเมืองจันทบูรว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้ทรงมีรับสั่งให้นำไม้ตะเคียนจากปากน้ำประแส เพื่อไปทำเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เมื่อ พ.ศ.๒๔๐๙ ต่อมาภายหลังชาวบ้านได้ช่วยกันสร้าง “วัดตะเคียนงาม” ขึ้นในดงไม้ตะเคียนแห่งนี้ ซึ่งต้นตะเคียนที่เหลืออยู่นี้เป็นต้นที่ไม่ตรงเหมือนต้นอื่นที่นำไปสร้างเรือพระที่นั่งในสมัยนั้น
ชุมชนเก่าปากนำประแส
ปัจจุบันนี้ ปากน้ำประแส เป็นชุมชนของชาวประมงไทย-จีน ที่ส่วนใหญ่อยู่ริมน้ำมีวิถีการประมงชาวบ้านโดยยึดอาชีพประมงในแม่น้ำและประมงในทะเลลึก ทำนากุ้ง เลี้ยงปลาน้ำกร่อย เลี้ยงปลาในกระชังอยู่ริมฝั่งแม่น้ำประแส ทำให้ปากน้ำประแสนั้นเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มีความหนาแน่น และมีท่าเรือใหญ่ที่ขนส่งกุ้ง หอย ปู ปลา จากทะเลไปแหล่งการค้าของชาวประมงที่บ้านเพ นอกจากนี้ส่วนพื้นที่ด้านในตั้งแต่หน้าวัดตะเคียนงามไปจดทุ่งคลองปูน ชาวบ้านมีอาชีพการเกษตรทำนา ทำสวนเป็นหลัก มีสวนมะม่วง มะพร้าว ระกำ เป็นต้นนับเป็นแหล่งอาหารทะเล อาหารจากสวนผลไม้ และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากการประมงที่โดดเด่นมากจนยกระดับจากตลาดชาวบ้านให้เป็นตลาดขนาดใหญ่ของชุมชน และพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาสัมผัสบรรยากาศริมทะเลและวิถีชาวบ้าน นอนโฮมสเตย์ กินอาหารทะเลสด และท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ เช่น“ทุ่งโปรงทอง” ที่เป็นป่าชายเลนขนาดใหญ่ที่มองเห็นใบของต้นโปรงซึ่งมีสีเขียวอมเหลืองสดใส จำนวนมาก จนทำให้เกิดทุ่งสีทองสว่างไสวในยามต้องแสงแดดโดยมีสะพานไม้ทอดยอดและหอสูงให้ชมได้ทั้งบริเวณ อนุสรณ์เรือหลวงประแส ที่ได้ปฏิบัติภารกิจมากมาย ซึ่งสังกัดกองเรือสหประชาชาติในสงครามเกาหลี เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕ เรือหลวงประแสปฏิบัติภารกิจทางยุทธการรวม ๓๒ ครั้ง นาน ๒ ปีเศษ จนกระทั่งปลดระวางเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๓ และการเที่ยวทางทะเล ไปเกาะมันนอก เกาะมันกลาง เกาะมันใน ที่มีการอนุรักษ์เต่ากับทรัพยากรทางทะเล และปรากฏการณ์ทะเลแหวก เป็นต้น จนทำให้ปากน้ำประแสแห่งนี้เป็นชุมชนคนเที่ยวได้ตลอดปี ด้วยเหตุที่ชาวปากน้ำประแสส่วนใหญ่มีอาชีพประมงที่ใช้ชีวิตอยู่ในเรือเกือบตลอด ทำให้เรือประมงเหมือนบ้านหลังที่สอง ชาวประมงจึงมีพิธีทำบุญบ้าน คือ เรือประมง ซึ่งเป็นพาหนะสำคัญในการทำมาหากินจึงจัดทำบุญทอดผ้าป่าขึ้นในเรือ ดังนั้น วันเพ็ญเดือนพฤศจิกายนทุกปี ในประเพณีลอยกระทงชุมชนปากน้ำประแสจึงมีการจัดทอดผ้าป่ากลางน้ำ ที่แตกต่างจากพื้นที่อื่นและเป็นประเพณีที่มีมานานกว่า ๑๐๐ ปี แต่หายไปช่วงหนึ่งภายหลังจึงมีการฟื้นฟูขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๔๐ เป็นงานที่มีกิจกรรมการแข่งเรือพาย การดำน้ำ ว่ายน้ำ มวยทะเล ประกวดเรือ ประกวดร้องเพลงและดนตรี เป็นต้น จุดสำคัญของชุมชนแห่งนี้คือ ศาลสมเด็จกรมหลวงชุมพรฯ และ ตลาดเก่าของปากน้ำประแส ที่มีอาคาร ร้านค้า หลากหลายสีสันและอาหารจากทะเลสดๆ...โดยมี นางสาวสุภาภรณ์ยอดบริบูรณ์ ผู้นำชุมชนคนขยันประสานสิบทิศรอต้อนรับทุกท่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี