เจาะลึกถึงการทำงานของ "นักเวชศาสตร์สื่อความหมาย" และประสบการณ์จริงจากครอบครัวหนึ่งที่พาลูกสาวผู้สูญเสียการได้ยินตั้งแต่กำเนิด มารับการรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ตั้งแต่ 2 ขวบ ผ่านไป 8 ปี ขณะนี้นี้เด็กหญิงคนดังกล่าวมีความฝันที่อยากจะเป็นหมอเพื่อรักษาช่วยผู้อื่น
การสื่อสารมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของคนมาก หากไม่สามารถสื่อสารได้คงยากที่จะดำรงชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคม จากสถิติของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พบว่าในปัจจุบันประเทศไทยมีผู้พิการทางการได้ยินและสื่อความหมายประมาณ 382,615 คน หรือร้อยละ 18.87 แต่รู้หรือไม่ว่า ในประเทศไทยมีโรงเรียนแพทย์เพียงแห่งเดียวที่เปิดสอนภาควิชาวิทยาศาสตร์สื่อความหมายและความผิดปกติของการสื่อความหมาย นี้มากว่า 45 ปีแล้วคือ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี สาขาวิชานี้มุ่งเน้นการผลิตนักเวชศาสตร์สื่อความหมาย หรือนักแก้ไขการพูดและการได้ยิน ผู้เป็นฟันเฟืองสำคัญของการฟื้นฟูผู้บกพร่องทางการสื่อสารให้สามารถสื่อสารได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งปัจจุบันทั้งประเทศมีนักเวชศาสตร์สื่อความหมายเพียง 400 คน
ที่ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มีคนไข้เข้ามารักษาด้านนี้จำนวนกว่า 28,000 ครั้งต่อปี เนื่องจากคนไข้ที่มีปัญหาด้านการสื่อสารจำเป็นต้องได้รับการรักษาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน สัดส่วนของกลุ่มผู้ป่วย แบ่งเป็น ร้อยละ 56.90 คือผู้ที่มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดล่าช้าทุกประเภท เช่น กลุ่มอาการออทิสติก ประสาทหูพิการ กลุ่มเรียนรู้บกพร่องเป็นต้น ซึ่งพบได้ในวัยตั้งแต่ 1 ปี 6 เดือน จนถึงอายุ 30 ปี ที่เหลือเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่เสียความสามารถด้านการสื่อความเนื่องจากภาวะผิดปกติของระบบในสมอง ซึ่งพบได้ตั้งแต่อายุ 40 – 80 ปี
อาจารย์ ดร.นิตยา เกษมโกสินทร์ หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์สื่อความหมายและความผิดปกติของการสื่อความหมาย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เล่าให้ฟังว่า “หน้าที่ของนักแก้ไขการพูดจะครอบคลุมการดูแลผู้ป่วยตั้งแต่ต้น เริ่มตั้งแต่การตรวจเพื่อประเมินการให้คำแนะนำ การวางแผนการบำบัดรักษา และการฟื้นฟูสมรรถภาพในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาด้านภาษา และการพูด ซึ่งมีอยู่หลากหลายกลุ่มพัฒนาการภาษาและการพูดล่าช้า ได้แก่ กลุ่มที่เป็นออทิสติก กลุ่มที่สูญเสียการได้ยินเสียงผิดปกติ รวมถึงกลุ่มผู้ที่มีปัญหาด้านการกลืนผิดปกติ ในส่วนของนักแก้ไขการได้ยินก็จะทำหน้าที่หลักๆ ในการดูแลเรื่องของการใส่เครื่องช่วยฟังการฟื้นฟูการฟัง โดยทั้งหมดนี้ เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
“น้องดี” เด็กหญิงปุณิกา พูนสิน ผู้ป่วยเด็กของแผนกแก้ไขการสื่อสาร ปัจจุบันอายุ 10 ขวบ ได้เข้ามารักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ตั้งแต่อายุได้ 2 ขวบ โดย คุณแม่ฝน พูนสิน ได้เล่าถึงสิ่งครอบครัวได้เผชิญว่า “รับรู้ถึงความผิดปกติของลูกสาวตั้งแต่ 2 เดือน ที่เวลาเรียกจะไม่หันตามเสียง ไม่มีการตอบสนองกลับ ทางครอบครัวจึงไม่ได้นิ่งนอนใจ พาไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ในตอนนั้นคุณหมอแจ้งว่าลูกสาวเธอปกติดีทุกอย่าง จึงได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้จนเวลาล่วงเลยมาเมื่อน้องดีอายุ 2 ขวบ อาการผิดปกติเริ่มชัดเจนขึ้น จากที่ไม่ได้ยิน ยังไม่สามารถสื่อสารออกมาเป็นคำพูดได้ ทางครอบครัวจึงตัดสินใจพาน้องมาตรวจอีกครั้งที่โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงได้รู้ว่าน้องดีสูญเสียการได้ยินมาตั้งแต่กำเนิด พอได้ฟังปุ๊บ คำถามแรกคือ ทำไมต้องเกิดขึ้นกับลูกสาวของเธอด้วย ช่วงนั้นยอมรับว่าท้อและเสียใจมาก จึงได้รวบรวมสติ กำลังใจจากคนรอบข้างดูแลน้องดียอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น
จนกระทั่ง 4 ขวบ มรสุมลูกใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อน้องดีเป็นหวัด จึงทำให้หูทั้ง 2 ข้างดับสนิท จนต้องรับการผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมที่สามารถช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาการได้ยินในระดับรุนแรง สามารถกลับมาได้ยินได้อีกครั้ง ปัจจุบันน้องดียังคงเข้ารับรักษาอย่างต่อเนื่องที่รามาธิบดี จนกลับมามีชีวิตที่สดใสอีกครั้ง ท่ามกลางความรัก กำลังใจของครอบครัว ครูอาจารย์ เพื่อนๆ และศึกษาในระดับชั้นป. 4 กับความฝันที่อยากจะเป็นคุณหมอ ช่วยเหลือคนไข้ อย่างที่เธอได้รับโอกาสที่ดีจากทีมบุคลากรทางการแพทย์ของรามาธิบดีในขณะนี้”
อาจารย์ ดร.นิตยา กล่าวอีกว่า เป็นเวลากว่า 45 ปีแล้ว ที่รามาธิบดีเปิดสอนหลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาความผิดปกติของการสื่อความหมายขึ้นเป็นที่แรกและที่เดียวในประเทศไทย ย้อนกลับไปช่วงเริ่มต้นทางคณะได้จัดตั้งหลักสูตรนี้เพื่อสอนในระดับปริญญาโท เมื่อปี 2519 และต่อมาเมื่อบุคลากรที่จบเฉพาะด้านนี้เริ่มขาดแคลน ทางรามาธิบดี จึงเริ่มขยายหลักสูตรมาสอนในระดับปริญญาตรีเพิ่มเติมด้วย เมื่อปี 2548 เพื่อรองรับการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้มีความบกพร่องทางการสื่อความหมายในประเทศไทยที่มีจำนวนมากขึ้น ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ที่มาเรียนต่อสาขานี้มีหลากหลาย ทั้งแพทย์ นักจิตวิทยา นักภาษาศาสตร์ แต่กลุ่มที่มีมากที่สุดคือ กลุ่มพยาบาล ส่วนระดับปริญญาตรีทางหลักสูตรจะเปิดรับปีละ 30 คน เมื่อเรียนไปนักศึกษาก็จะสามารถเลือกสาขาที่ตนเองสนใจเพื่อเป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมากขึ้นซึ่งมี 2 สาขาคือ สาขาการแก้ไขการพูด และ สาขาการแก้ไขการได้ยิน
แม้ว่าจะมีการขยายหลักสูตรมาสอนในระดับปริญญาตรีแล้วก็ตาม แต่ในปัจจุบันอาชีพนักเวชศาสตร์สื่อความหมายยังคงเป็นที่ต้องการในระบบสาธารณสุขในทุกๆ ปี ในขณะเดียวกันแนวโน้มของจำนวนผู้ป่วยกลุ่มนี้ก็มีมากขึ้น ดังนั้นรามาธิบดีจึงเป็นสถานที่ผลิตบุคลากรที่จบออกไป เพื่อช่วยเหลือคนไข้ที่มีปัญหาดังกล่าว ซึ่งในขณะนี้ได้มีการกระจายอยู่ตามที่โรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ
“ช่วงโควิดที่ผ่านมา ทางภาควิชาต้องปรับตัวมาก ทั้งนักศึกษาและอาจารย์ แต่เราพยายามถ่ายทอดความรู้และฝึกให้นักศึกษามีประสบการณ์มากที่สุดก่อนที่จะเรียนจบออกไป เพราะจุดประสงค์ของเราคือ การผลิตนักเวชศาสตร์สื่อความหมายที่มีคุณภาพ เพื่อดูแลผู้ป่วยที่ยังรอโอกาสได้เข้ารับการรักษาเป็นจำนวนมากในสังคม ทุกวันนี้เวลาที่เห็นผู้ป่วยที่มารักษากับเรามีพัฒนาการที่ดีขึ้น ดูแลตัวเองได้ สามารถสื่อสารกับคนรอบข้างได้มากขึ้น ถือว่าบรรลุเป้าหมายสูงสุด เพราะเป้าหมายที่นักเวชศาสตร์สื่อความหมายมีร่วมกันคือการได้เห็นผู้ป่วยสามารถดูแลตัวเองและใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ” อาจารย์ ดร.นิตยากล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ ขอเชิญผู้มีจิตกุศลร่วมสนับสนุนการผลิตบุคลากรการแพทย์ ผู้ที่จะเป็นที่พึ่งด้านสุขภาพของคนไทยด้วยการบริจาคเงินสมทบทุนจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ โครงการสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ โรงเรียนแพทย์ของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ที่ ชื่อบัญชี มูลนิธิรามาธิบดี โครงการสถาบันการแพทย์จักกรีนฤบดินทร์
ธนาคารกรุงเทพ 090-3-50015-5 / ธนาคารกสิกรไทย 879-2-00448-3 / ไทยพาณิชย์ 026-3-05216-3 / บริจาคออนไลน์ คลิก www.ramafoundation.or.th / LINE: @RamaFoundation และโทร.0-2201-1111
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี