วันมาฆบูชาที่ผ่านมาเมื่อวันที่๑๖กุมภาพันธ์นั้นเป็นพิธีสำคัญทางพุทธศาสนา ที่ไม่เคยมีในไทยมาก่อน เรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๕ ทรงอธิบายไว้ว่า พิธีนี้เกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่ได้นิยมกันว่าในวันมาฆะบูรณ ที่มีพระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์ในวันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ นั้นเป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย เป็นวันที่มีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นพร้อมกัน ๔ประการคือ ๑.เป็นวันที่พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกัน ณ เวฬุวันวิหารในเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกัน ๒.พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น"เอหิภิกขุอุปสัมปทา"คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น ๓.พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ล้วนแต่เป็นผู้ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ผู้เข้าถึงอภิญญา๖แล้วทุกองค์ ๔.เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ วันนี้จึงเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต เป็น"การประชุมด้วยองค์ ๔" ในคืนวันเพ็ญนั้นพระพุทธเจ้าทรงกระทำวิสุทธิอุโบสถทรงแสดง”โอวาทปาติโมกข์” อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา จึงถือเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาในเดือนมาฆะ คำว่า"มาฆะ" เป็นชื่อของเดือน ๓ ที่มาจากคำว่า"มาฆบุรณมี" แปลว่าการบูชาพระในวันเพ็ญเดือน๓ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ แต่ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองครั้งวันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ในการที่พุทธสาวกมาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายนั้นมาจากคืนวันเพ็ญเดือน ๓ นั้นตามคติพราหมณ์ เป็นวันพิธีศิวาราตรีพระสาวกเหล่านั้นเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน จึงพากันเปลี่ยนจากการรวมตัวกันทำพิธีชำระบาปตามพิธีพราหมณ์นั้นมารวมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทนนั่นเอง กล่าวคือหลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ แล้ว ได้ทรงประกาศพระศาสนาโดยส่งพระอรหันตสาวกออกไปจาริกเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสถานที่ต่างๆ ล่วงแล้วได้ ๙ เดือน ในวันที่ใกล้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นต่างได้ระลึกว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์อันเป็นศาสนาของตนอยู่เดิม ก่อนที่จะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าและในลัทธิศาสนาเดิมนั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ เหล่าผู้ศรัทธาพราหมณลัทธินิยมนับถือกันว่าวันนี้เป็นวันศิวาราตรีโดยจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการลอยบาปหรือล้างบาปด้วยน้ำ แต่มาบัดนี้ตนได้เลิกลัทธิเดิมหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้วจึงควรเดินทางไปเข้าเฝ้าบูชาฟังพระสัทธรรมจากพระพุทธเจ้าพระอรหันต์เหล่านั้นซึ่งเคยปฏิบัติศิวาราตรีอยู่เดิมจึงพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษาก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนที่ใช้ทบทวนคำสอนว่า” การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะการไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ความสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ความเพียรในอธิจิต ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่เข้าใจกันโดยทั่วไปและจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดีทำจิตใจให้ผ่องใส”ที่เกิดขึ้นในใจและการปฏิบัติของชาวพุทธมาทุกวันนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี