ย่านการค้าสะพานหัน
จากการที่กระทรวงวัฒนธรรมได้จัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้ชุมชนอาเซียนในไทยและชุมชนต่างชาติในกรุงรัตนโกสินทร์และภูมิภาคต่างๆ อันสืบสานกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์นั้น ปรากฏว่ามีชาวต่างชาติย้ายถิ่นเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในแผ่นดินสยาม และพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยามได้มีทศพิธราชธรรมปกครองปวงชนชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยพระราชทานสิทธิเสรีภาพในการดำเนินชีวิต ประกอบอาชีพ การปฏิบัติประเพณีและนับถือศาสนา อีกทั้งพระราชทานที่ดินให้อยู่อาศัยแยกตามเชื้อชาติและศาสนา จนเกิดชุมชนและย่านต่างๆ ขึ้นหลายแห่ง จนเป็นพหุวัฒนธรรมที่นำไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา จากการศึกษาของเอ็ดเวิร์ด ฟาน รอย ได้ทำการวิจัยภูมิหลังเชิงประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่เข้ามาตั้งรกรากในกรุงเทพฯ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประกอบด้วย มอญ ลาว จาม เปอร์เซีย อาหรับ อินเดีย มาเลย์ จีน ขแมร์ เวียดนาม ไทยโยนก ซิกข์ จีนเชื้อสายต่างๆ รวมไปถึงชาวตะวันตกนั้นได้สะท้อนให้เห็นความจริงว่ากรุงเทพฯนั้นเป็นพื้นที่ที่มีกลุ่มคนต่างเชื้อชาติต่างวัฒนธรรมอาศัยอยู่ร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน มีการผสมผสานเชิงวัฒนธรรมจนเป็นที่มาของความเป็นคนสยาม หรือคนไทยนั้น ได้นำไปสู่การถอดบทเรียนความคิดความเชื่อ มายาคติเรื่องชาติพันธุ์ หรือเชื้อชาติไทยจนหล่อหลอมรวมเอาคนต่างชาติพันธุ์ต่างวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ความเป็นคนสยามหรือคนไทย ทำให้เกิดการปะทะสังสรรค์ทางวัฒนธรรมและเกิดสังคมจากความหลากหลายนั้นเป็นพหุวัฒนธรรมขึ้น ส่งผลให้เกิดการหลอมรวม การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เกิดเป็นสังคม-วัฒนธรรม พัฒนาการของเมือง องค์กรทางสังคมสืบต่อมาถึงวันนี้ซึ่งปรากฏว่ายังมีกลุ่มที่สืบชาติพันธ์ุจาก มอญ ลาว จาม เปอร์เซีย อาหรับ อินเดีย มาเลย์ แต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน ฮากกา ไหหลำ กวางตุ้ง ขแมร์ เวียดนาม ไทยวน ซิกข์ โปรตุเกส ฯลฯ อาศัยอยู่ซึ่งปรากฏการตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณริมแม่น้ำและลำคลอง
คนต่างชาติในพระนคร
ซึ่งเป็นไปตามความสะดวกในการสัญจร และตั้งบ้านเรือนชุมชนอยู่บริเวณที่อยู่ในเขตเมือง คือใกล้กับกำแพงพระราชวัง และที่ตั้งถิ่นฐานไกลออกไป แต่ละชุมชนมีความสามารถเฉพาะในวิชาชีพ เช่น เป็นช่างฝีมือ ช่างเหล็ก ช่างทองจึงทำให้ชุมชนได้กลายเป็นพื้นที่ศูนย์กลางย่านการค้าตามที่แต่ละชุมชนมีความชำนาญในภายหลัง รูปแบบการตั้งชุมชนคล้ายกัน คือ จะมีศาสนสถานเป็นศูนย์กลางของชุมชน เมื่อมีชาติพันธุ์เดียวกันถูกกวาดต้อนหรือย้ายมาในภายหลังจะได้รับอนุญาตให้ตั้งชุมชนใหม่ที่อยู่ไม่ไกลจากชุมชนเดิมที่มีกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันอาศัยอยู่ ซึ่งได้มีการถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาและอัตลักษณ์ชุมชน เช่น สถาปัตยกรรม งานหัตถกรรมและช่างฝีมือ อาหาร การแต่งกายของชุมชนในกรุงเทพฯ รวมไปถึงหัวเมืองในภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก ดังนั้นการที่ศูนย์อาเซียน หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ได้นำจัดนิทรรศการ “ชุมชนอาเซียนใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” เมื่อวันที่ ๒๐-๒๔ เมษายน ๒๕๖๕ที่ผ่านมาจึงเป็นการเผยแพร่องค์ความรู้การตั้งถิ่นฐานของชุมชนอาเซียนดั้งเดิมในกรุงเทพฯ ๖ กลุ่ม ได้แก่เขมร ญวน พม่า มอญ ลาว และมุสลิม ด้วยอัตลักษณ์ ขนบประเพณีของชุมชนอาเซียนที่อยู่อาศัยภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน พร้อมกับสาธิตด้านอาชีพและอาหารโดยผู้แทนชุมชนอาเซียนตัวอย่างในกรุงเทพฯ ได้แก่ ย่านเขมร ชุมชนบ้านบาตร สาธิตการทำบาตรย่านญวน ชุมชนตลาดบ้านญวน สามเสน ทำอาหารเวียดนาม ย่านพม่า ชุมชนตลาดพระโขนงออกร้านขายเครื่องอุปโภค-บริโภค ย่านมอญ จัดแสดงข้าวแช่จากบางลำพู ย่านลาว ชุมชนบางไส้ไก่ สาธิตการทำขลุ่ย และย่านมุสลิม จัดแสดงแกงมัสมั่นจากชุมชนมัสยิดจักรพงษ์ โดยมีผู้นำชุมชนมาบอกเล่าเรื่องราวของตน จึงนำพาไปสู่การเรียนรู้ชุมชนต่างๆ ผ่านรสชาติอาหารประจำชาติ ตำนานบรรพบุรุษ ผ่านพิธีตรุษสงกรานต์งานประเพณี การแต่งกายและสิ่งเคารพนับถือที่สร้างความภาคภูมิใจถึงการเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินนี้ด้วยพระบรมโพธิสมภารอันสืบเนื่องมายาวนาน ๒๔๐ ปี และได้สร้างมรดกร่วมทางวัฒนธรรมบนแผ่นดินนี้ด้วยกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี