การเทศน์มหาชาติ
จากการที่ คณะกรรมการวรรณคดีแห่งชาติกรมศิลปากร ได้ยกย่องมหาชาติคำหลวงเป็น วรรณคดีแห่งชาติและจัดการเสวนาวิชาการ “วรรณกรรมเรื่องมหาชาติในวัฒนธรรมไทย” เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ที่ผ่านมา จึงได้ตามรอยหาภูมิวรรณคดีสำคัญที่มีบทบาทต่อวัฒนธรรมไทยเรื่องนี้ เช่นเดียวกับเรื่องไตรภูมิพระร่วงที่มีบทบาทต่อสังคมสมัยสุโขทัย สำหรับเรื่องมหาชาติคำหลวงนี้เป็นวรรณคดีสมัยอยุธยา โดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดเกล้าฯ ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตของกรุงศรีอยุธยาแปลและแต่งเรื่องเวสสันดรชาดก จากภาษาบาลีในพระไตรปิฎกเป็นเรื่องมหาชาติคำหลวงเมื่อ พุทธศักราช ๒๐๒๕ดังปรากฏหลักฐานใน พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ว่า “ศักราช ๘๔๔ ขานศกท่านให้เล่นการมหรสพ ๑๕ วัน ฉลองพระศรีรัตนมหาธาตุ แล้วจึงพระราชนิพนธ์พระมหาชาติคำหลวงจบบริบูรณ์” ด้วยเหตุที่เรื่องเวสสันดรชาดกเป็นพระชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้าที่เป็นพระโพธิสัตว์ และได้บำเพ็ญบารมีมาครบสิบทัศหรือ ๑๐ ชาติ จึงเรียกพระชาติสุดท้ายนี้ว่า “มหาชาติ” ซึ่งมีการแปลและแต่ง “มหาชาติคำหลวง” ขึ้น เรื่องมหาชาติคำหลวงมีทำนองแต่งแบบมหากาพย์ มีการดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง ดังปรากฏใน ๑๓ กัณฑ์ ได้แก่ กัณฑ์ทศพร กัณฑ์หิมพานต์ กัณฑ์ทานกัณฑ์ กัณฑ์วนประเวศน์ กัณฑ์ชูชก กัณฑ์จุลพนกัณฑ์มหาพน กัณฑ์กุมาร กัณฑ์มัทรี กัณฑ์สักรบรรพกัณฑ์มหาราช กัณฑ์ฉกษัตริย์ และกัณฑ์นครกัณฑ์
อธิบดีกรมศิลปากรกับคณะวิทยากร
สำหรับกัณฑ์กุมารนั้นถือว่าเป็นเหตุวิกฤตสำคัญด้วยเป็นตอนพระเวสสันดรกระทำบุตรทานคือประทานพระชาลีและพระกัณหาให้เป็นข้ารับใช้ของชูชก แล้วยังจะประทานมัทรี ผู้เป็นมเหสีอีกด้วย มหาชาติคำหลวงนี้เป็นผลงานที่แสดงภูมิปัญญาด้านภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาบาลีและสันสกฤตของปราชญ์ทางกวีอย่างชัดเจน ซึ่งแต่ละกัณฑ์นั้น ปราชญ์ทางกวีแต่งด้วยฉันทลักษณ์ที่ต่างกัน เช่น ร่ายโบราณฉันท์ โคลง เป็นต้น การแต่งนี้เรียกว่า แปลยกศัพท์โดยกวีจะยกความต้นฉบับจากภาษาบาลีแล้วแปลศัพท์นั้นด้วยภาษาสันสกฤตเป็นส่วนใหญ่ภาษาบาลีถือเป็นภาษาของนักปราชญ์ราชบัณฑิตที่ใช้ศึกษาพระพุทธศาสนา ส่วนภาษาสันสกฤตนั้นเป็นภาษาที่ปราชญ์ในอาเซียนทั้งไทย เขมร และชวาใช้ในการแต่งวรรณคดีสำคัญ ปราชญ์ทางกวีของไทยได้แปลเนื้อเรื่องตรงกับต้นฉบับเป็นส่วนใหญ่ และมีการแต่งเพิ่มเติมในส่วนที่เป็นบุคคลและสถานที่เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ที่สำคัญคือได้เพิ่มความที่เป็นวัฒนธรรมไทยไว้ด้วย
ผศ.ดร.ประพจน์ อัศววิรุฬการ
ดังนั้นมหาชาติคำหลวงจึงเป็นขุมทรัพย์แห่งปัญญาที่สร้างวัฒนธรรมให้กับสังคมไทย และ เกิดปัญจมหาปริจาคะ เกิดความดี ความงดงามความรู้เป็นอุดมคติ ที่สร้างธรรมเนียมการปกครอง การตั้งชื่อ เป็นต้น โดยเฉพาะสร้างค่านิยมที่คนไทยพากันมี “ความยินดีในการให้ทาน” ซึ่งมหาชาติคำหลวงนั้นได้ชี้ให้เห็นถึง ๑.การให้ทุกสิ่งที่ตนมีแก่ทุกคนที่มาขอโดยไม่มีการเลือกชั้นวรรณะ และ ๒.การให้ทานพร้อมด้วยปัญญา โดยเฉพาะการให้ทานบุตรและภรรยาของพระเวสสันดรนั้นนอกจากจะช่วยให้พระองค์ถึงนิพพานแล้ว ยังทำให้สามารถช่วยมนุษย์และเทวดาให้พ้นจากวัฏสงสารด้วย ด้วยเหตุนี้พระเวสสันดรจึงยอมตัดใจยกพระชาลีและพระกัณหาให้เป็นข้าของชูชก..แม้จะย้อนแย้งในข้อเท็จจริงแต่ก็ยังได้เห็นการยกลูกยกเมียให้กันอยู่บ้าง สำหรับความรู้ความเข้าใจครั้งนี้ต้องขอบคุณวิทยากรสำคัญผู้ศึกษาเรื่องนี้ ผศ.ดร.ประพจน์ อัศวิรุฬการ,ศ.ดร.ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต, ศ.สุกัญญา สุจฉายา, รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ, ชนิดา สีหามาตย์, ธนโชติเกียรติณพัตร และเจ้าหน้าที่พิธีกรมการศาสนาผู้สาธิตสวดมหาชาติคำหลวง ซึ่ง กลุ่มภาษาและวรรณกรรม สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ผู้จัดนิทรรศการและจัดเผยแพร่องค์ความรู้ให้ทุกคนประทับใจตระหนักถึงความสำคัญของมหาชาติคำหลวงเรื่องนี้ที่ยังต้องสานต่องานไปถึงเทศน์มหาชาติสำนวนอื่นที่เกิดขึ้นตามภาคต่างๆ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี