พิธีแห่เทียนสมัยแรกเริ่ม
อาทิตย์นี้ได้ตามรอยสยามไปเรียนรู้ดูภูมิเมืองจากงานประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษาที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมี นายอิทธิพล คุณปลื้มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ทำหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เปิดงานเทศกาลแห่เทียนเข้าพรรษาฯ วันแรกเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๕โดยมีคณะทูตและกงสุลจากต่างประเทศภูฏานญี่ปุ่น ลาว เวียดนาม ร่วมงานกับประชาชนจำนวนมากด้วยเหตุที่งานวันเข้าพรรษาทุกปีนั้นมีประเพณีสำคัญเกิดขึ้นทั่วประเทศเช่นเดียวกันคือ การถวายเทียนเพื่อการพระศาสนา อดีตนั้นพราหมณ์-ฮินดูได้มีการบูชาด้วยแสงสว่างจากน้ำมัน ด้วยถือว่าวัวนั้นเป็นพาหนะของพระอิศวร เมื่อวัวตายลงก็จะนำไขจากวัวนั้นมาทำน้ำมันเพื่อจุดให้มีแสงสว่างเป็นการบูชาพระผู้เป็นเจ้าที่ตนเคารพ
สำหรับพระพุทธศาสนานั้น ได้ใช้แสงสว่างจากขี้ผึ้งมาใช้ระหว่างเข้าพรรษา ด้วยพระพุทธเจ้า ทรงบัญญัติให้พระภิกษุสงฆ์จำพรรษาเป็นเวลา ๓ เดือน ในฤดูฝน ระหว่างแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ เพื่อไม่ให้พระสงฆ์ออกไปเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวนาให้ได้รับความเสียหาย ดังนั้นการนำขี้ผึ้งมาทำเป็น ต้นผึ้ง ปราสาทผึ้ง ก็เพื่อให้พระภิกษุนำไปจุดให้มีแสงสว่างจึงเกิดขึ้น จึงเป็นประเพณีสืบต่อกันมาแต่พุทธกาลจนถึงวันนี้ คือการถวายต้นผึ้ง ที่เป็น ประเพณีแห่เทียนพรรษากันทุกปี และ ประเพณีการถวายผ้าอาบน้ำฝน ดังนั้นการถวายต้นผึ้งแบบเดิมก็เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้จุดให้แสงสว่างในการปฏิบัติกิจในยามอยู่พรรษาจึงเป็นพุทธบูชาแสงสว่างตลอดเวลา ๓ เดือน เรื่องนี้มีการให้อานิสงส์ของการถวายแสงสว่างในวันนี้ว่า พระอนุรุทธะ สาวกของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีปัญญาเฉียบแหลม ฉลาดรอบรู้แตกฉานในพระธรรมวินัย ได้คิดการถวายแสงสว่างขึ้น ด้วยชาติปางก่อนนั้นพระอนุรุทธะเคยให้แสงประทีปเป็นทาน
กรมหลวงสรรพสิทธิ์ประสงค์
ยังมีเหตุเล่าอีกว่า หญิงคนหนึ่งไปฟังธรรมที่เชตวนาราม เมืองสาวัตถี พอพลบค่ำลงได้ให้คนไปนำประทีปที่บ้านของตนมาจุดให้แสงสว่างแก่คนที่มาฟังธรรม เมื่อนางตายไปก็ไปเกิดเป็นเทพธิดามีรัศมีเป็นแสงสว่าง ในพุทธกาลนั้นจึงมีการนำขี้ผึ้งมาทำเป็นต้นผึ้งเพื่อจุดให้แสงสว่างเป็นพุทธบูชาโดยการเอารังผึ้งร้างนั้นมาต้มเอาขี้ผึ้งสีเดียวกัน แล้วทำเป็นดอกใส่ถ้วยดินจุดหรือฟั่นเป็นเทียนเล่มเล็กมีความยาวสำหรับขดตามต้องการใช้จุดบูชาในถ้วย ต่อมาในยุคหลังจึงได้มีการทำต้นผึ้ง ปราสาทผึ้ง ทำต้นเทียนถวาย ดังนั้นการหลอมรวมขี้ผึ้งเพื่อให้เป็นต้นเทียนเนื้อเดียวกันจึงเกิดขึ้น จึงเป็นการแสดงปรารถนาให้ตนเองเป็นผู้เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ ประดุจ แสงสว่างของแสงเทียน ดังนั้นการทำเทียนพรรษาที่นำรังผึ้งมาต้มเอาขี้ผึ้งไปฟั่น หล่อเป็นเทียนสำหรับนำไปถวายพระภิกษุหรือจะทำเป็นเทียนเล่มเล็กจำนวนมากมามัดรวมกันเป็นต้นเทียน หรือต้นเทียนพรรษาจึงเป็นประเพณีสืบเนื่องต่อกันมาจนทุกวันนี้โดยเสริมการจัดขบวนแห่หลายหลากตามสภาพท้องถิ่นที่มีทั้งการแห่ทางน้ำและแห่ทางบกไปสู่วัดหรือพระธาตุเจดีย์สำคัญของแต่ละพื้นที่
สำหรับประเพณีถวายเทียนพรรษาของอุบลราชธานี ถือเป็นงานประเพณีที่สร้างชื่อเสียงไปสู่นานาประเทศ จากการอนุรักษ์ สืบสาน ต่อยอดที่ติดต่อยาวนานกันมา ๑๒๑ ปี จากการเริ่มถวายต้นผึ้ง ถวายเทียนเล่มเล็กที่มีการมัดรวมกันให้เป็นเทียนต้นเดียวกัน จนถึงหล่อต้นเทียน และสร้างขบวนรถขนาดใหญ่ที่ตกแต่งลวดลายประกอบด้วยขี้ผึ้งและเทียนจนเป็นเอกลักษณ์ของต้นเทียนและขบวนรถที่ตกแต่งด้วยงานศิลป์จนเป็นถิ่นคนทำเทียนถวายวัด นับเป็นสัญลักษณ์ที่ชี้วัดให้เห็นถึงความสามัคคีของหมู่คณะที่หาได้ยากยิ่ง
กรมหลวงสรรพสิทธิ์ประสงค์
ประวัติประเพณีการแห่เทียนของอุบลราชธานีนั้นเริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๔ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงมณฑลอีสานผู้ดูแลต่างพระองค์ในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งพำนักอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี ได้คิดและจัดให้มี การแห่ขบวนเทียนพรรษา รอบเมืองเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๔๔ ในระยะเริ่มต้นนั้นเป็นขบวนแห่ชาวบ้านที่นำเทียนมาถวายตามวัด มีแต่เสียงร่ำลือไปว่าเทียนคุ้มวัดนั้นงาม เทียนคุ้มวัดนี้สวย ภายหลังจึงมีการสานต่อเป็นการประกวดเทียนพรรษา แล้วแห่รอบเมือง ก่อนนำไปถวายพระที่วัด จนถึงปีพ.ศ.๒๔๘๓ นายโพธิ์ ส่งศรี ได้คิดทำแม่พิมพ์ด้วยหินลับมีดโกนมาหล่อขี้ผึ้งเป็นลวดลายไทยนำไปประดับติดพิมพ์ที่บนเทียนพรรษา และมีการทำเทียนพรรษาโดยแกะสลักลวดลายบนเทียนเป็นครั้งแรก นายสวน คูณผล ได้คิดทำลวดลายนูนสลับสีต่างๆ ในปี พ.ศ.๒๕๐๒ พ่อใหญ่คำหมา แสงงาม ได้คิดทำต้นเทียนขนาดใหญ่ขึ้นจากเดิม และจัดเป็นขบวนแห่ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๑๑ นายอุตสาห์ และ นายสมัย แสงวิจิตร ได้เริ่มจัดทำเทียนพรรษาขนาดใหญ่โตที่มีหุ่นแสดงเรื่องราวต่างๆ ทางพุทธประวัติประกอบ และ นายสมคิด สอนอาจ ครูภูมิปัญญาที่เป็นประติมากรเทียนพรรษาฯ ที่สืบต่องานจนกลายเป็นงานสร้างสรรค์ขบวนรถเทียนพรรษาขนาดใหญ่ปรากฏในทุกวันนี้ อุบลราชธานีจึงเป็นตัวแทนประเพณีพุทธบูชาด้วยแสงสว่างและมีพระเถระผู้เป็นแสงธรรมของแผ่นดินนี้มายาวนาน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี