ในโลกอนาคตที่เต็มไปการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน ทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่าง น้ำท่วมไฟป่า ฝนตกผิดฤดู ตลอดจนปัญหาความยากจน การขาดแคลนพลังงาน ปัญหาสังคม ความเครียด รวมทั้งสงครามที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ในโลกทุกวันนี้ นำมาสู่คำถามสำคัญคือ เราจะรับมือกับอนาคตอย่างไร
ภายในงาน Sustainability Expo 2022 ซึ่งจัดขึ้น ณ หอประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคณะที่ปรึกษาศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC), MQDC ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนเมืองเพื่อสิ่งแวดล้อม ได้ขึ้นเวทีนำเสนอแนวคิดเพื่อการสร้างเมืองอนาคตอย่างยั่งยืน ภายใต้ชื่อว่า Resilience Framework for Future Cities
รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต กล่าวว่า กรอบแนวคิดนี้มีสาระสำคัญอยู่ที่การแก้ไขและป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถึงแม้ว่าความเป็นจริง ปัญหาต่างๆ จะเกิดขึ้นเป็นเวลาระยะหนึ่งแล้ว เช่น ปัญหาสิ่งแวดล้อม สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ฯลฯ แต่ด้วยแนวคิดนี้ทำให้สามารถป้องกันและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นมาแล้ว หรือเรียกว่า ล้มแล้วก็ลุกได้นั่นเอง
ทั้งนี้ การแก้ปัญหาจะต้องเริ่มต้นจากการมองปัญหาให้เห็นเสียก่อน ปัญหาแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1.ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(Nature& Environment) เช่นน้ำท่วม การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ คลื่นความร้อน มลภาวะทางอากาศ ฯลฯ 2.การอยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐาน (Living & Infrastructure) เช่น น้ำประปาไม่ไหลไฟดับ สารเคมีรั่วไหล โรคระบาด ฯลฯ 3.เศรษฐกิจและสังคม (Society &Economy) เช่น การสูญเสียอัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่น ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ฯลฯ
“เราสามารถสร้างเมืองที่มีประสิทธิภาพและป้องกันปัญหาในอนาคตได้โดยการมองผ่านเฟรมเวิร์คนี้ เริ่มจากตัดปัญหาที่ไม่น่าจะเกิดออกไปและเตรียมการสำหรับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อเราสามารถมองเห็นปัญหาที่เฉพาะเจาะจงได้ เราก็จะหาวิธีการแก้ได้ เช่น ถ้าเรามองว่าจะมีปัญหาน้ำแล้ง เราก็สามารถทำ Groundwater bank แก้ปัญหานี้ได้ ถ้าเราเห็นปัญหาน้ำท่วม เราก็สามารถหาผู้เชี่ยวชาญมาทำโครงการ Sponge city design ได้ สิ่งเหล่านี้สำคัญมาก เพราะมันทำให้เรารู้ว่า บางปัญหาเราไม่ต้องพัฒนาเอง เราซื้อมาใช้ได้เลย บางปัญหาแพงไป เราพัฒนาเวอร์ชั่นใหม่ได้ บางปัญหายังไม่มีทางแก้ก็จะเป็นโอกาสในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมา”
พร้อมแนะแนวทางในการแก้ปัญหานี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แนวทางกว้างๆ คือ 1.Mitigation หมายถึง การลดผลกระทบที่เกิดขึ้น เช่น การรีไซเคิล พลังงานสะอาด ฯลฯ 2.Adaptation หมายถึง การจัดการผลกระทบที่เกิดขึ้น เช่น การป้องกันน้ำท่วม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน นอกจากการใช้แนวทางอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ยังสามารถทำทั้งสองแนวทางพร้อมกันได้ เช่น การสร้างสวนแนวตั้งในเมือง การอนุรักษ์อาหารท้องถิ่น ฯลฯ
“สำหรับตอนนี้ยังมีโอกาสมากมายที่จะช่วยกันคิดค้นแก้ไขปัญหาอนาคตที่ไม่แน่นอน ทุกวิกฤตมีทั้งอันตรายและโอกาสอยู่ในนั้น อย่าตระหนก อย่าตื่นตัวจนตื่นกลัว ตรงนี้คือโอกาสที่จะสร้างโลกใหม่ได้และนำไปสู่ความสมดุลใหม่ที่เราจะก้าวต่อไปอย่างยั่งยืนด้วยการร่วมมือกัน และทำให้เร็วที่สุด เพราะปัญหาได้เกิดขึ้นแล้ว” รศ.ดร.สิงห์ กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี