ขณะที่เงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษอ่อนค่าร่วงหนัก เงินดอลลาร์สหรัฐ กลับแข็งค่าพุ่งทะยาน ท่ามกลางหลายวิกฤตโลกเป็นฉากหลัง ทั้งสงครามในยูเครน สินค้าราคาพุ่งและมาตรการล็อกดาวน์ป้องกันโควิด-19 ในจีน วิกฤตค่าเงินที่แกว่งไปมาไม่มีเสถียรภาพกำลังทำให้หลายฝ่ายกังวลเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน
อัตราแลกเปลี่ยนเงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงหนึ่งของการซื้อขายที่ตลาดเอเชีย เมื่อช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.0327 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 ปอนด์ ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ลดลง 4.9% จากอัตราแลกเปลี่ยนช่วงปิดตลาด เมื่อวันศุกร์ก่อนหน้า แม้หลังจากนั้นค่าเงินปรับขึ้นเล็กน้อย มาอยู่ที่ 1.0699 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 ปอนด์ แต่ยังคงต่ำกว่าราคาปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ก่อนหน้า ประมาณ 3.6% ขณะที่เมื่อเทียบกับเงินยูโร เงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษก็อ่อนค่าลง 1.3%ที่ระดับ 92.60 เพนนี ต่อ 1 ยูโร ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2000
ค่าเงินปอนด์เริ่มดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง หลังจาก ควาซี ควาร์เต็ง รัฐมนตรีคลังของอังกฤษ ประกาศมาตรการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ปี 1972 เป็นวงเงินประมาณ 45,000 ล้านปอนด์ (ราว 1.79 ล้านล้านบาท) ครอบคลุมระหว่างปี 2026-2027 ซึ่งแยกต่างหากจากมาตรการเยียวยาครัวเรือนในประเทศจากวิกฤติพลังงาน ซึ่งจะมีวงเงินสูงถึง 100,000 ล้านปอนด์ (ราว 3.98 ล้านล้านบาท) มาตรการปรับลดภาษีดังกล่าว รวมถึงการตัดลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอัตราพื้นฐาน มูลค่า 5,000 ล้านปอนด์ (ประมาณ 210,000 ล้านบาท) และอัตรา 45% อีก มูลค่า 2,000ล้านปอนด์ (ประมาณ 82,000 ล้านบาท),การยกเลิกการขึ้นเงินนำส่งกองทุนประกันสังคม และการยกเว้นการเก็บอากรแสตมป์ที่อยู่อาศัย
แม้การประกาศนี้อาจจะช่วยบรรเทาภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อังกฤษน่าจะเข้าสู่ภาวะนี้แล้ว แต่การที่รัฐบาลอังกฤษมีแนวโน้มว่าจะต้องกู้ยืมเงินมหาศาลถึง 72,000 ล้านปอนด์(เกือบ 3 ล้านล้านบาท) ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ก็ส่งผลกระทบต่อตลาดเช่นกันและเป็นการเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน พร้อมกับเตือนว่า ภาครัฐจะเผชิญกับความเสี่ยง ในการแก้ไขการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งจะยิ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเงินปอนด์อาจอ่อนค่าลงอีกจนแตะ 1 ต่อ 1 เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนั่นจะส่งผลให้การนำเข้าสินค้าจำเป็นและสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติด้วยเงินดอลลาร์ จะยิ่งมีราคาและต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างมาก
เปา หลิน เทียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน บอกกับอัล-จาซีราว่า ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจอังกฤษในตอนนี้อยู่ในระดับต่ำมาก นโยบายด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีลิซ ทรัสส์ ที่มุ่งเน้นการลดภาษีในกลุ่มคนร่ำรวยไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนส่วนใหญ่ และน่าจะไม่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่อยู่ในช่วงขาลงมาระยะหนึ่งแล้วได้
แม้รัฐบาลอังกฤษจะมีเครื่องมือหลักในการรับมือกับการอ่อนค่าของเงินปอนด์ซึ่งก็คือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อหวังดึงเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาเก็บผลกำไรที่ดีกว่าแต่จนถึงตอนนี้ ธนาคารกลางอังกฤษก็ยังไม่มีท่าทีจะปรับขึ้นดอกเบี้ย แม้ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ จะเพิ่งส่งสัญญาณรับลูกเมื่อวันจันทร์ว่าจะไม่ลังเลที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากจำเป็นก็ตาม
ส่วนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่กำลังแข็งค่าและขึ้นเอาๆ ต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางปี 2021 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเดือนที่แล้ว ที่ค่าเงินดอลลาร์พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 20 เดือน เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ ของโลก6 สกุลเงินนั้น นักวิเคราะห์มองว่ามีแรงผลักดันอยู่ 2 ประการ
ประการแรกคือความเชื่อมั่นที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ เพราะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่แข็งค่าย่อมสะท้อนถึงรากฐานที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจในประเทศ ที่แม้จะกำลังเผชิญกับทั้งวิกฤตอัตราเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยังสะดุด แต่หลายฝ่ายยังเชื่อมั่นในเสถียรภาพของเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะสหรัฐฯ มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่และแข็งแกร่งมากแม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะยังไม่มั่นคง ทั้งจากสงครามยูเครนและเศรษฐกิจขาลงในยุโรป แต่นักลงทุนเชื่อว่าถือเงินดอลลาร์ไว้ในมือ ยังไงก็ปลอดภัยกว่าเห็นๆ ขณะที่ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอื่นๆ มีเพียงญี่ปุ่นประเทศเดียวในกลุ่ม 10 ประเทศยักษ์ใหญ่ที่ยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จีนเองปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงด้วยซ้ำ ขณะที่ยุโรปเองก็กำลังดำดิ่งสู่ภาวะชะลอตัวเต็มรูปแบบ
ส่วนแรงผลักดันที่สอง ซึ่งมีความสำคัญมาก หนีไม่พ้นการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ที่ล่าสุด เพิ่งปรับเพิ่มอีก 0.75% เป็นรอบที่ 3 ติดต่อกันสู่ระดับ 3.00%-3.25% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่แล้ว โดยมุ่งเป้าไปที่การต่อสู้ภาวะเงินเฟ้อที่แตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี แม้มาตรการนี้อาจต้องแลกมาด้วยภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและตัวเลขว่างงานที่สูงขึ้น แต่จะได้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเงินดอลลาร์สหรัฐ ถูกซื้อไปเก็บมากขึ้นช่วยให้ค่าเงินพุ่งขึ้นตามไปด้วย แม้ว่ารัฐบาลอังกฤษและกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร หรือยูโรโซน มีแผนที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยเช่นกัน แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีท่าทีชัดเจนและปรับขึ้นแบบเอาจริงเล็งเห็นผลเหมือนกับเฟดของสหรัฐฯ ทำให้เงินดอลลาร์ชิงความได้เปรียบไปแล้วหลายช่วงตัว
แน่นอนว่า เงินดอลลาร์สหรัฐ ที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันได้ประโยชน์ เพราะจะได้ซื้อสินค้านำเข้าจากต่างประเทศในราคาที่ถูกลง การเดินทางไปพักผ่อนยังต่างประเทศก็มีค่าใช้จ่ายลดลง แต่กับอีกหลายฝ่ายถือเป็นฝันร้าย ไม่เพียงแต่จะยังฉุดค่าเงินสกุลอื่นให้ดิ่งลง ผู้คนในประเทศอื่นๆ ก็จะต้องมีรายจ่ายมากขึ้นเมื่อซื้อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ หรือเมื่อต้องเดินทางไปสหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้อในประเทศอื่นๆ มีแนวโน้วปรับเพิ่มขึ้น น้ำมันเชื้อเพลิงและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ที่มักจะใช้เงินดอลลาร์ในการซื้อ ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ตามด้วยค่าใช้จ่ายด้านอาหาร พลังงาน และอื่นๆของภาคครัวเรือนเป็นเงาตามตัว แน่นอนว่าปัญหาในการจ่ายหนี้ของครัวเรือนในต่างประเทศก็จะมีมากขึ้นฉุดให้รัฐบาลต้องเก็บภาษีเพิ่ม จนครัวเรือนต้องมีรายจ่ายเพิ่ม นำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เรียกว่าพี่กันสบาย แต่ทั่วโลกตายหยังเขียด
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี