พิธีถวายบังคมในอดีต
วันที่ ๒๓ ตุลาคม เป็นวันปิยมหาราช ที่รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวันสำคัญของชาติและกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย ด้วยความสำนึกในพระองค์ ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณนานานัปการ ทรงปกครองบ้านเมืองและพระราชทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ทุกหมู่เหล่าจึงได้ถวายพระราชสมัญญานามพระองค์ว่า“พระปิยมหาราช” และได้พากันพร้อมใจกันบริจาคเงินเพื่อสร้าง “พระบรมรูปทรงม้า” ขึ้นเป็นอนุสรณ์ตามที่พระองค์ทรงมีพระราชดำริไว้แต่ครั้ง พ.ศ.๒๔๔๖ โดยมีการสร้างพระบรมรูปทรงม้าในการทำเป็นซุ้มประตูทางเข้าพระราชวังดุสิตที่สร้างขึ้นใหม่ โดยทรงเห็นชอบกับความคิดของพระยาสุริยานุวัตร์ ตามพระราชประสงค์ที่ใช้เงินบริจาคที่เหลือจากงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๕๐ พรรษา ที่รวบรวมได้ตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๖ ภายหลังเมื่อพระองค์เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๒ เมื่อพ.ศ.๒๔๕๐ จึงสานต่อแนวคิดพระบรมรูปทรงม้าโดยนำแบบอย่างมาจากพระบรมรูปของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส ที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นที่กรุงปารีส การสร้างพระบรมรูปทรงม้าครั้งนี้พระองค์เสด็จไปทำการตกลงการสร้างและเลือกชนิดโลหะด้วยพระองค์เอง ขณะที่พระองค์เสด็จประทับอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พระองค์ได้เสด็จประทับเป็นแบบให้ช่างปั้นชื่อ จอร์จ เซาโล(Georges Saulo) นายช่างชาวฝรั่งเศส ของ บริษัทซุซ แฟรส์ ฟองเดอร์ (Susse Frères Fondeur)ปั้นหุ่น และขยายแบบหล่อขึ้นที่บริษัทแห่งนี้ เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๕๐ เมื่อพระบรมรูปหล่อสำเร็จเรียบร้อยแล้วได้แยกชิ้นส่วนส่งเข้ามาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันพุธที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๕๑อันเป็นเวลาพอดีกับงานพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษกที่จัดขึ้นเนื่องในโอกาสเถลิงถวัลยราชสมบัติ๔๐ ปี เมื่ออัญเชิญพระบรมรูปทรงม้าขึ้นประกอบประดิษฐานกลางลานหน้าพระราชวังดุสิตแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพระบรมรูปทรงม้านี้ด้วยพระองค์เอง พระบรมรูปทรงม้านี้หล่อด้วยโลหะทองบรอนซ์ ยึดติดกับแท่นทองบรอนซ์ เป็นที่ม้ายืนหนาประมาณ ๒๕ เซนติเมตร ประดิษฐานบนแท่นรองทำด้วยหินอ่อน สูง ๖ เมตร กว้าง ๒ เมตร ยาว๕ เมตร ห่างจากฐานของแท่นออกมานั้น มีโซ่ขึงล้อมรอบกว้าง ๙ เมตร ยาว ๑๑ เมตร ตรงฐานด้านขวามีอักษรโรมัน ภาษาฝรั่งเศสจารึกชื่อช่างปั้นและช่างหล่อไว้ว่า C.MASSON SEULP 1908 และ G.Paupg Statuare และด้านซ้ายเป็นชื่อบริษัทที่ทำการหล่อพระบรมรูปทรงม้าว่า SUSSE Fres FONDEURS. PARIS สำหรับแท่นศิลาอ่อนด้านหน้ามีแผ่นโลหะจารึกอักษรไทย ติดประดับแสดงพระบรมราชประวัติและพระเกียรติคุณ ลงท้ายด้วยคำถวายพระพรให้ทรงดำรงราชสมบัติอยู่ยืนนาน ซึ่งมีความตอนหนึ่งว่า“พระองค์คือบุพการีของราษฎรเพราะเหตุเหล่านี้แผ่นดินของพระองค์ จึ่งยงยิ่งด้วยความสถาพรรุ่งเรืองงาม มหาชนชาวสยามถึงความศุขเกษมล่วงล้ำอดีตสมัยที่ได้ปรากฏมา พระองค์จึ่งเปนปิยมหาราชที่รักของมหาชนทั่วไป”
ภาพต้นแบบชุดทรงม้า
ดังนั้น พระบรมรูปทรงม้าจึงเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่เป็นอนุสาวรีย์บุคคลแห่งแรกในประเทศไทย และเป็นอนุสาวรีย์แห่งแรกที่สร้างขึ้นในขณะที่บุคคลนั้นยังมีชีวิต นับเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความจงรักภักดีที่ปวงชนชาวสยามได้ร่วมกันเรี่ยไรสมทบทุนสร้าง ส่วนเงินที่เหลือเป็นจำนวนมากหลังจากการสร้างนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้นำไปสร้างมหาวิทยาลัยขึ้นซึ่งมีนามตามพระปรมาภิไธยว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของสยามปัจจุบันอนุสาวรีย์แห่งความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้มีการสร้างอนุสรณ์สถาน และพระบรมรูปของพระองค์ในสถานที่สำคัญหลายแห่งทั่วประเทศ ทุกปีจึงมีการถวายความจงรักภักดีในวันปิยมหาราชสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี