วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568
การแต่งองค์ทรงเครื่องให้ตัวละครแต่ละตัว โดยเฉพาะตัวหลัก นอกจากจะต้องใช้ความพิถีพิถันแล้ว ยังต้องใส่ใจกับรายละเอียดทั้งหมด เพื่อให้การแสดงหน้าฉากดำเนินไปอย่างงดงามตระการตา ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลล้วนมีขนบธรรมเนียม มีขั้นตอน และมีครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ทั้งสิ้น
กว่าที่ผู้ชมจะได้พบความงดงามของการแสดงโขนได้ในแต่ละรอบนั้น มีบุคคลผู้อยู่เบื้องหลังอีกมากมายที่ช่วยกันรังสรรค์ความวิจิตรให้บังเกิดขึ้น ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัย พาคุณไปสนทนากับผู้อยู่เบื้องหลัง และตัวแสดงหลักบางตัวใน โขนรามเกียรติ์ ตอน สะกดทัพ
ดร.สุรัตน์ จงดา ผู้กำกับการแสดง
l เรียนถามผู้กำกับการแสดงว่าจุดเด่นที่สุดของการแสดงปีนี้คืออะไรครับ
ดร.สุรัตน์ : จุดเด่นสำคัญของโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ที่จัดแสดงทุกปีคือ ความงดงามวิจิตรตระการตาโดยองค์รวม และที่สำคัญอีกประการคือเราเน้นความสมจริงของการแสดงในฉาก hi light โดยการแสดงปีนี้มีฉากพิเศษคือหนุมานแผลงฤทธิ์แปลงกายสูงใหญ่เท่าสิงขร มีสี่พักตร์ แปดกร เพิ่มเติมจากฉากหนุมานอ้าปากอมพลับพลาพระรามเพื่อป้องกันไมยราพลักพาตัวพระราม นอกจากฉากนี้แล้วยังมีฉากสนุกสนานอีกมากมาย เช่น ฉากพระรามทรงพระสุบินว่าราหูอมจันทร์ หนุมานรบกับช้างที่เฝ้าทางไปเมืองบาดาล ฉากหนุมานรบกับฝูงยุงตัวเท่าแม่ไก่ แต่ละฉากสนุกสนานมาก เพิ่มสีสันให้การแสดงเป็นพิเศษ ส่วนฉากที่เน้นความอลังการของท้องพระโรงกรุงลงกาก็ยังงดงามเหมือนทุกปี หลายคนถามว่าเรานำเอาตอนศึกมัยราพณ์มาแสดงใหม่หรือเปล่า ตอบว่าไม่ใช่ เพราะปีนี้ชื่อตอนสะกดทัพเราอัญเชิญบทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 1 มาเป็นบทดำเนินเรื่อง ส่วนศึกมัยราพณ์นั้นอัญเชิญบทพระราชนิพนธ์ในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 2 มาเป็นบทดำเนินเรื่อง การสะกดชื่อไมยราพจึงต่างจากมัยราพณ์การแต่งองค์ทรงเครื่องของไมยราพในปีนี้ก็จึงต่างไปจากตอนศึกมัยราพณ์
![]()
l การแสดงโขนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ได้รับการยกย่องว่าดำเนินเรื่องได้กระชับรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ดำเนินเรื่องตามบทพระราชนิพนธ์อย่างเคร่งครัด ช่วยเล่าการทำงานตรงนี้ให้ฟังด้วยครับ
ดร.สุรัตน์ : การแสดงโขนมีขนบ มีแบบแผนมาตั้งแต่โบราณกาล เราต้องยึดหลักนี้ไว้ แต่เราก็ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อให้คนชมไม่รู้สึกว่าการแสดงยืดยาดเชื่องช้าเกินไป เราจึงต้องเน้นการดำเนินเรื่องให้กระชับฉับไว แต่ไม่เสียอรรถรสของบทพระราชนิพนธ์ โขนของศิลปาชีพฯ จึงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี เป็นที่กล่าวขานของคนในสังคมโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงของเรา ดังจะเห็นว่าตอนสะกดทัพมีเด็กอายุ 9-11 ขวบ แสดงเป็นมัจฉานุ โดยเราคัดเลือกไว้ถึง 6 ตัวแสดงด้วยกัน นี่คือดอกผลของการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ที่เราทุกคนผู้มีส่วนร่วมทำงานถวายแด่สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงล้วนภาคภูมิใจมากที่สุด เพราะอย่างน้อยที่สุดคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยก็ให้ความสนใจกับโขนนาฏศิลป์ชั้นสูงของไทย ทำให้เราเบาใจว่าโขนไทยจะดำรงสืบต่อไปในบ้านเมืองของเรา
![]()
คุณวัชรวัน ธนะพัฒน์ รับบททศกัณฐ์
l ทศกัณฐ์ในตอนสะกดทัพ มีบทแสดงมากน้อยแค่ไหนครับ เมื่อเทียบกับตอนอื่นๆ ของรามเกียรติ์
คุณวัชรวัน : ตอนสะกดทัพ ทศกัณฐ์มีบทไม่มากนัก มีแค่ช่วงแรกๆ เท่านั้น โดยสั่งให้หลานคือไมยราพเข้าเฝ้า แล้วสั่งให้ไปลักตัวพระรามไปไว้ในเมืองบาดาล มีฉากทศกัณฐ์แค่ในท้องพระโรงกรุงลงกาเท่านั้น กล่าวได้ว่าในตอนนี้ทศกัณฐ์ไม่เด่นมากนัก แต่ไมยราพกับหนุมานจะมีบทมาก
![]()
l ทศกัณฐ์เป็นตัวละครเด่นและสำคัญมากตัวหนึ่งของรามเกียรติ์ ขอเรียนถามว่าการคัดเลือกตัวผู้แสดงเป็นทศกัณฐ์ต้องเน้นสิ่งใดเป็นสำคัญครับ
คุณวัชรวัน : ผู้รับบททศกัณฐ์ต้องมีรูปร่างใหญ่โตให้สมกับเป็นยักษ์กษัตริย์ชั้นสูง ต้องสั่งสมประสบการณ์การแสดงมากยาวนาน จนครูท่านไว้วางใจให้รับบทสำคัญนี้ เรียกว่าต้องฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งเมื่อถึงวัยอันควร ครูก็จะมอบหมายให้รับบทนี้ ในกลุ่มผู้แสดงโขนแต่ละคนจะมีความสามารถ มีรูปร่างบุคลิกลักษณะต่างกัน ครูโขนท่านจะมองตัวแสดงที่เหมาะสมที่สุดให้รับบทต่างๆ คนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ คอยาวระหง มักจะได้รับบทยักษ์ใหญ่ เช่น ทศกัณฐ์ สหัสเดชะ หากรูปร่างเล็กลงไปสักหน่อยหนึ่งก็จะรับบทยักษ์เล็ก เช่น อินทรชิต ไมยราพ เป็นต้น สำหรับผมนั้น ครูท่านเห็นว่ามีรูปร่างใหญ่โต ท่านดูการแสดงแล้วจึงมอบให้รับบททศกัณฐ์ ผมก็ต้องซ้อมให้หนักมากขึ้น ให้สมกับที่ครูท่านไว้วางใจให้แสดง เราต้องทำให้ดีที่สุดเมื่อได้รับโอกาสแล้ว
![]()
การแสดงบทต่างๆ เช่น รัก โกรธ เขินอาย เจ็บปวด เสียใจ โดยตัวละครที่สวมหัวโขนปิดหน้า อย่างเช่น ทศกัณฐ์ แต่ต้องแสดงอากัปกิริยาต่างๆ ให้สอดคล้องกับบท นับว่าเป็นการแสดงที่ยากมาก ต้องฝึกฝนนานแค่ไหนจึงจะแสดงได้สมบทบาทครับ
คุณวัชรวัน : ก็ค่อนข้างยากครับ เพราะเราจะต้องทำให้คนดูเชื่อว่ากำลังโกรธ รัก เจ็บปวด โดยแสดงออกทางท่าทางเท่านั้น แต่ไม่มีสีหน้าช่วยประกอบอารมณ์ มันเป็นสิ่งที่ต้องฝึกแสดงนานมาก แต่จะว่าไปแล้วการแสดงอารมณ์ของโขนก็คือการแสดงอารมณ์ของคนทั่วไป เพราะคนเรามี รัก โกรธ ดีใจ เสียใจ เขินอายเจ็บปวด เช่น เวลาเราโกรธคนอื่น เราก็อาจชี้หน้าเขา หรืออาจจะแสดงอาการหงุดหงิดด้วยการเกาหัว แต่เมื่อมาทำเป็นท่ารำของโขน ครูบาอาจารย์ท่านก็ประดิษฐ์คิดท่ารำขึ้น โดยเอากิริยาตามธรรมชาติของคนที่มีอารมณ์ต่างๆ มาใช้ในการแสดง โดยประดิษฐ์ท่าทางให้สวยงามมากขึ้น เช่น การชี้หน้าก็ทำเป็นบทฟาดนิ้ว เป็น acting ชนิดหนึ่ง คือทำให้ท่าทางออกมาสวยประกอบการรำ
![]()
l ยุคนี้คนรุ่นใหม่สนใจโขนมากขึ้น หลายคนใฝ่ฝันอยากเป็นตัวทศกัณฐ์ เพราะดูสง่า ภูมิฐาน ในฐานะตัวทศกัณฐ์จะฝากอะไรถึงคนรุ่นใหม่ที่สนใจโขนบ้างครับ
คุณวัชรวัน : อย่างแรกเลยขอให้อ่านรามเกียรติ์ก่อนครับ แล้วศึกษาตัวละครต่างๆ ไปเรื่อยๆ จากน้้นก็ดูโขน หาความรู้เรื่องโขนเพิ่มเติม ยิ่งศึกษาตั้งแต่อายุยังน้อยจะซึมซับได้ดี แล้วฝึกฝนการแสดงไปเรื่อยๆ ซึ่งมีการอบรม และสอนในสถาบันการศึกษาที่สอนนาฏศิลป์ หรือสถานที่ต่างๆ ที่อบรมและฝึกโขน ปัจจุบันนี้มีมากมาย เช่น สถาบันโขนคึกฤทธิ์ และศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ส่วนผู้ที่ศึกษาอยู่ในวิทยาลัยนาฏศิลป์อยู่แล้วก็ต้องหมั่นฝึกฝนการแสดงบทต่างๆ ให้มาก เพราะยิ่งฝึกฝนก็ยิ่งชำนาญมากขึ้น
คุณอรรถพล อ่อนสุวรรณ รับบทไมยราพ
คุณเพ็ญศิริ โกมลวัจนะ ช่างแต่งกายตัวละคร
l คุณอรรถพลร่วมแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ มากี่ตอนแล้วครับ ในตอนแรกๆ รับบทใดครับ
คุณอรรถพล : ผมได้รับเกียรติให้ร่วมงานกับโขนมูลนิธิฯ มา 10 กว่าปีแล้วครับ ครั้งแรกเมื่อปี 2554
รับบทพิเภก ในตอนนั้นใช้ชื่อตอนว่าศึกมัยราพณ์ ส่วนครั้งนี้รับบทไมยราพครับ (คำว่าไมยราพกับมัยราพณ์คือตัวละครเดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่มาจากบทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 1 และ 2)
![]()
l บทพิเภก กับบทไมยราพ มีความแตกต่างกันอย่างไรครับ
คุณอรรถพล : ยักษ์สองตนมีวัยวุฒิต่างกัน บุคลิกลักษณะก็ต่างกัน พิเภกเป็นยักษ์ชั้นสูง มีอายุ
มีความสุขุม ไม่มีนิสัยดุร้าย เป็นยักษ์ที่ทรงภูมิรู้ เป็นโหราจารย์ รักความเป็นธรรม ส่วนไมยราพเป็นยักษ์
ต่างเมือง มีอายุไม่มาก ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น บุคลิกลักษณะจะคล่องแคล่วว่องไวกว่าพิเภก การรับบทตัวยักษ์ใดๆก็ตามต้องศึกษาบท และบุคลิกลักษณะตัวละครให้แตกก่อน แล้วจึงวางท่าทางให้เหมาะสมสอดคล้อง เพื่อให้สมจริงที่สุด ผู้แสดงที่ต้องเปลี่ยนบทเป็นตัวละครอื่นๆ ในแต่ละการแสดงต้องทำความเข้าใจกับบทที่ต้องรับให้ดีที่สุดครับ ต้องทำการบ้านให้ดี และต้องอ่านบทให้ละเอียดมากที่สุด แล้วถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครออกมา
l เรียนถามผู้แต่งกายให้ไมยราพ ต้องใช้เวลานานกี่ชั่วโมงครับ จึงจะแต่งกายสำเร็จพร้อมออกแสดงได้
คุณเพ็ญศิริ : โดยประมาณคือหนึ่งชั่วโมง แต่ถ้าชำนาญแล้วก็ใช้เวลาประมาณ 40-50 นาทีค่ะ
![]()
l อะไรคือความยากที่สุดของการแต่งกายตัวละคร โดยเฉพาะยักษ์ระดับเจ้าเมือง แล้วทำไมจึงสนใจการแต่งกายตัวละคร
คุณเพ็ญศิริ : ต้องตรึงต้องเย็บให้เข้ารูปมากที่สุด และให้ดีที่สุด เพื่อให้เครื่องทรงออกมาดูดี และ
ที่สำคัญเมื่อแสดงบทรบต้องไม่ปริไม่ขาดไม่หลุด เพราะการแสดงจริงนั้นหากเกิดปัญหาเสื้อผ้าเครื่องทรงไม่เรียบร้อยจะทำให้เสียความน่าเชื่อถือมาก แล้วตัวแสดงจะไม่สามารถแสดงต่อได้อย่างสมบทบาท ส่วนเหตุผลที่สนใจแต่งตัวละครเพราะเคยเรียนนาฏศิลป์มาก่อนเคยรับบทพระ และยักษ์สตรี ประกอบกับที่บ้านมีอาชีพด้านเครื่องแต่งกายละคร จึงค่อนข้างคุ้นเคยพอประมาณค่ะการแต่งกายตัวละครมีความน่าสนใจ เพราะแต่ละตัวมีสีสัน และเครื่องประกอบต่างกันไป
คุณกัณฑ์กรพัชญ์ สุทธิพร ช่างแต่งผมหน่วยตั้งรัดเกล้า
l การตั้งรัดเกล้าคือการทำผมตัวละครโดยเฉพาะตัวนาง ใช่ไหมครับ ตัวนางแต่ละตัวตั้งรัดเกล้าเหมือนหรือต่างกันครับ
คุณกัณฑ์กรพัชญ์ : การตั้งรัดเกล้าคือการทำผมให้ตัวนางก่อนที่จะไปสวมชฎาหรือมงกุฎหรือเกี้ยว หรือกระบังหน้า ซึ่งก็คือศิราภรณ์ ระดับของศิราภรณ์ขึ้นอยู่กับฐานันดรของตัวละครที่จะรับบท การตั้งรัดเกล้าเป็นงานสำคัญอย่างหนึ่งของการแต่งตัวในการแสดงโขนมีเทคนิคพิเศษคือใช้เชือกตั้งตัวรัดเกล้าโดยที่ไม่ใช้กิ๊บหนีบผม แต่ใช้เชือกตรึงไว้ ยกตัวอย่างตัวละคร เช่น นางสีดามีศักดิ์สูงเป็นนางกษัตริย์สวมชฎาก็จะทำผมแบบหนึ่งเพราะชฎาจะปิดบังทรงผมไว้ทั้งหมด แต่หากเป็นนางเบญกาย หรือนางตรีชฎา จะไม่ทรงชฎาเหมือนนางสีดา แต่จะสวมเกี้ยวยอด หรือรัดเกล้า ดังนั้นตัวละครทั้งสองนี้จะต้องตั้งรัดเกล้า ส่วนตัวละครที่ศักดิ์ต่ำลงมาอีก เช่น นางกำนัลก็จะสวมกระบังหน้า ก็จะทำผมอีกแบบหนึ่งที่ต่างไป กล่าวโดยย่อๆ คือ การตั้งรัดเกล้านั้นเฉพาะตัวนางที่ไม่ได้ทรงชฎายอดแหลม กลุ่มตัวละครที่สวมชฎายอดสูง เช่น เทวดา นางเทพอัปสร นางฟ้าชั้นสูง และตัวละครสตรีชั้นสูง เช่น พระอุมา พระลักษมี เป็นต้น
คุณอนันตศักดิ์ กุลดิลก หัวหน้าช่างแต่งกายตัวละคร
![]()
l เรียนถามคุณอนันตศักดิ์ว่าการแต่งกายตัวละครสำคัญๆ ระหว่าง ตัวพระและนางกษัตริย์กับตัวยักษ์ระดับกษัตริย์ เช่น ทศกัณฐ์ มีความยากง่ายต่างกันไหมครับ ใช้เวลาแต่งกายตัวละครตัวใดมากกว่ากันครับ
คุณอนันตศักดิ์ : อันที่จริงตัวพระระดับกษัตริย์แต่งกายไม่แตกต่างกันมากนัก เช่น พระราม พระลักษมณ์จะไม่ต่างกันในองค์ประกอบหลัก แต่ต่างกันที่สีเครื่องแต่งกาย ส่วนนางสีดาก็จะแต่งกายไม่ยากไม่ซับซ้อนเท่ากับตัวพระราม พระลักษมณ์ เพราะนางกษัตริย์จะยุ่งยากที่เรื่องผ้านุ่งและสไบ ส่วนทศกัณฐ์ก็แต่งองค์ไม่ต่างจากพระรามมากนัก เพียงแต่มีส่วนประกอบที่ต่างไป เช่น มีสร้อยพระศอ โดยสรุปก็คือตัวละครชั้นสูงต้องมีศิราภรณ์ ถนิมพิมพาภรณ์ พัสตราภรณ์มากมายซึ่งต้องทำตามขนบประเพณีอย่างเคร่งครัด เพราะทุกอย่างมีครูบาอาจารย์ เอาเพียงแค่ถนิมพิมพาภรณ์ก็มากมาย ซึ่งประกอบด้วย กำไลข้อเท้า สังวาล ปั้นเหน่งเข็มขัด ทับทรวง กำไลแผง หรือทองกร ธำมรงค์ ปะวะหล่ำ และแหวนรอบ เป็นต้น
l เรียนถามเรื่องการนุ่งผ้าให้ตัวพระและยักษ์ทศกัณฐ์ครับ มีองค์ประกอบสำคัญอะไรบ้างครับ
คุณอนันตศักดิ์ : หลักๆ ก็มีสนับเพลา หรือ กางเกง ผ้านุ่งหรือภูษาที่มีลวดลายตามชั้นยศ เจียระบาด ห้องข้าง หรือชายเเครง ห้อยหน้า หรือชายไหว หรือสุวรรณกระถอบ เสื้อ หรือฉลององค์ รัดสะเอว หรือรัดองค์ กรองศอ และอินทรธนู ส่วนสำคัญของผ้านุ่งคือต้องมีหางหงส์ ส่วนชฎาพระรามหรือตัวพระต้องมีดอกไม้และอุบะติดด้านขวาด้วย เรียกชฎาพระยอดชัย การแต่งกายให้ตัวละครหลักๆ ต้องพิถีพิถันมาก ต้องเย็บต้องตรึงให้ดีที่สุด เพราะเมื่อตัวละครหันหลังให้ผู้ชมจะได้พบกับความงามรอบตัว เรียกได้ว่างามตั้งแต่หัวจรดเท้างามทั้งองค์ ตัวละครหลักของโขนมีสี่ตัว คือ พระ นาง ยักษ์ ลิง การแต่งกายก็จะแตกต่างกันไปตามสมญาภิธานรามเกียรติ์ คนแต่งตัวให้โขนต้องศึกษาเรื่องนี้ให้ดีห้ามทำผิดธรรมเนียม
เด็กชายวรวิชญ์ โรหิตาจล รับบทมัจฉานุ
คุณสำเริง ศรีอ่ำอ่วม ช่างแต่งกายมัจฉานุ
l การแสดงเป็นมัจฉานุต้องเน้นการออกท่าออกทางอะไรเป็นพิเศษบ้างครับ
เด็กชายวรวิชญ์ : มัจฉานุเป็นลูกผสมของลิงกับปลา จึงต้องมีการแสดงท่าทางของสัตว์สองชนิด
ในเวลาเดียวกัน เพราะความเป็นลิงจึงต้องซุกซนอยู่ไม่เป็นสุข แต่มีหางเป็นปลา จึงต้องทำเสมือนว่ายน้ำในบางขณะ แต่ก็เป็นลิงและปลาที่มีพละกำลังมากเพราะเป็นลูกของหนุมาน ดังนั้นเวลาสู้รับกับหนุมานก็จึงต้องใช้ความคล่องแคล่วว่องไวสูงมากให้สอดรับอารมณ์การแสดงของหนุมาน ตอนที่รบกับหนุมานโดยที่ยังไม่รู้ว่าหนุมานเป็นพ่อ ก็สู้เต็มกำลัง แต่ก็เอาชนะหนุมานไม่ได้ส่วนหนุมานก็เอาชนะมัจฉานุไม่ได้ จึงต้องเจรจากัน จนเมื่อมัจฉานุรู้ว่าหนุมานเป็นพ่อ จึงเสียใจและขอโทษที่ล่วงเกินพ่อการแสดงฉากนี้จึงมีทั้งการสู้รบ การร้องไห้เมื่อถูกหนุมานตี ต้องแสดงออกให้เหมือนเด็กกำลังสู้กับผู้ใหญ่ สู้ไปก็หลอกล่อ หยอกล้อไปด้วย สุดท้ายก็ฉากที่หนุมานกล่อมให้นอน ก็เหมือนเด็กไม่ยอมนอน อยากเล่นกับพ่อกลัวพ่อหนี มีหลายอารมณ์มาก
l เรียนโขนมาตั้งแต่อายุกี่ปีครับ ร่วมแสดงโขนกับมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ เป็นครั้งแรกใช่ไหมครับ ฝึกซ้อมนานกี่เดือนครับ
เด็กชายวรวิชญ์ : ผมอายุ 11 ขวบ เรียนอยู่ชั้นประถมห้า โรงเรียนจิตรลดาครับ และเรียนโขนด้วย
คุณพ่อผมเคยรับบทหนุมาน คุณพ่อช่วยสอนท่าทางให้ผมด้วยครับ และผมก็ดูท่าทางจากยูทูบประกอบด้วยครับ ส่วนการฝึกซ้อมก็ใช้เวลามากหลายเดือนครับ ทุกวันนี้ก็ยังต้องฝึกซ้อมท่าทางอยู่ตลอดเวลาเมื่อว่างจากการเรียน เพื่อให้แสดงได้ดียิ่งขึ้นครับ
l เรียนถามช่างแต่งกายให้มัจฉานุ การแต่งกายตัวละครเด็กยากหรือง่ายกว่าตัวละครผู้ใหญ่ครับ
คุณสำรวย : แต่งกายให้ตัวละครเด็กจะค่อนข้างยุ่งยากกว่าตัวละครผู้ใหญ่ค่ะ เพราะต้องใช้เครื่องแต่งตัวและเครื่องประดับสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ซึ่งต้องตัดเย็บและทำขึ้นเป็นพิเศษ แต่ก็โชคดีที่น้องวรวิชญ์มีความเข้าใจและอดทนเวลารัดเครื่อง ซึ่งจริงๆ แล้วเด็กอายุน้อยๆ มักไม่ค่อยอดทนมากนัก เนื่องจากการรัดเครื่องตัวละครต้องใช้เวลานาน และต้องไม่เข้าห้องน้ำ ต้องไม่กินอาหาร ไม่ดื่มน้ำมากๆ ก่อนการแสดง เด็กบางคน
เวลารัดเครื่องแล้วอึดอัดก็จะไม่ค่อยอดทน แต่น้องมัจฉานุตัวนี้น่ารัก เข้าใจในงานที่ต้องทำ เวลาเราเย็บกลึงตรึงเครื่องแต่งกายให้ ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แม้จะอึดอัดก็ทนได้ น่ารักมาก
คุณพงศ์รัต กิจบำรุง หัวหน้าช่างแต่งหน้า
l เรียนถามว่าการแต่งหน้าตัวละครที่แสดงโขน ต้องเน้นในสิ่งใดเป็นพิเศษครับ เพราะเป็นการแต่งหน้าเสมือนจำลองจากจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์จากวัดพระแก้ว
คุณพงศ์รัต : การแต่งหน้าโขน เน้นความงามที่ผิดไปจากมนุษย์จริงๆ เป็นการเน้นเรื่องลายเส้นต่างๆ บนใบหน้า เช่น เส้นคิ้ว เส้นใต้ตา การลงสีบนเปลือกตา การเน้นสันจมูก และการทาสีบนปาก ทั้งหมดเป็นเสมือนการเขียนภาพจิตรกรรมแบบลายไทย เช่น คิ้วของตัวพระกับตัวนางก็จะต่างกัน ตัวนางจะบางกว่า ส่วนของตัวพระจะหนากว่า การให้สีบนใบหน้าก็ต่างกันระหว่างตัวพระกับตัวนาง แม้กระทั่งระหว่างตัวพระด้วยกันเองก็มีความแตกต่างกัน เช่น พระรามสีแต่งหน้าให้ออกประกายทองส่วนพระลักษมณ์จะไม่เน้นประกายทองเท่าพระราม การแต่งหน้าตัวนางสำคัญๆ ก็จะต่างกันไป เช่น หน้านางสีดาก็จะมีความแตกต่างไปจากหน้าของนางมณโฑ หรือนางตรีชฎา เป็นต้น เพราะแต่ละนางมีบุคลิกลักษณะและความสำคัญในฉากต่างกัน ส่วนกลุ่มนางฟ้าเทวดาก็จะเน้นให้ดูแล้วมีรัศมีเปล่งออกมาจากร่างกายและใบหน้า
l ความต่างของสีที่ใช้ในการแต่งหน้าแต่งสีผิวของตัวพระตัวนางมีรายละเอียดอื่นๆ อะไรอีกบ้างครับ
คุณพงศ์รัต : สีผิวหน้าผิวกายของตัวพระจะออกโทนสีส้มนวล ส่วนตัวนางจะออกสีชมพูแดงเรื่อๆ
สีผิวหน้าผิวกายจะช่วยทำให้ตัวละครมีความโดดเด่นมากขึ้นเมื่อปรากฏตัวบนเวที อย่างเช่น ตัวเทวดา นางฟ้า หรือเทพชั้นสูงจะต้องแต่งสีผิวให้เหมือนมีประกายทองทั้งตัว แม้กระทั่งเท้า เพราะเทพชั้นสูงจะมีผิวกายที่เปล่งประกายเหมือนมีรัศมี
ใช้เวลาแต่งหน้าตัวละครตัวใดนานที่สุดนานกี่นาทีครับ
คุณพงศ์รัต : ใช้เวลาแต่งหน้าพระรามพระลักษมณ์ นางสีดา และเหล่าเทพชั้นสูงค่อนข้างนาน โดยเฉลี่ยประมาณหน้าละ 50-60 นาที แรกๆ ที่ฝึกแต่งหน้าตัวละครหลักๆ ใช้เวลานานมาก มากกว่า 2 ชั่วโมงเพราะมันไม่ลงตัว แต่งแล้วแก้ แก้แล้วแต่งใหม่หลายครั้งมาก เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้นก็ใช้เวลาน้อยลง แต่ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 50 นาทีต่อหน้า เพราะมีรายละเอียดของแต่ละหน้ามากน้อยต่างกัน รูปหน้าที่ต่างกันของตัวละครก็ทำให้ต้องใช้เวลาแต่งต่างกันไปด้วย
l เปิดโรงเรียนสอนแต่งหน้าโขนด้วยไหมครับ
คุณพงศ์รัต : ไม่ได้เปิดโรงเรียนสอนของตัวเอง แต่ทำงานและสอนอยู่ที่สถาบันเทคนิคการแต่งหน้าMTI ครับ
คุณจะได้ชมรายการไลฟ์ วาไรตี รายการดีที่ครบครันด้วยสาระและความรู้ ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 14.05-14.30 น. ทางโทรทัศน์ NBT กดหมายเลข 2 และชมรายการย้อนหลังได้ที่ YouTube ไลฟ์ วาไรตี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี