บ้านพักหลังน้อยของ ลุงบุญชม แกมรัมย์ วัย 64 ปี ชาวตำบลบ้านกลับ อ.หนองโดน จ.สระบุรีวันนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่นจากน้ำใจของลูกหลานที่เป็นตัวแทนจากหน่วยงานราชการและภาคเอกชน เข้ามาเยี่ยมเยียน
ลุงชม เล่าว่า ก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่ รอนแรมจากจังหวัดบุรีรัมย์บ้านเกิด เข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ จนได้พบกับ ป้าสุนีย์ อยู่สบาย ที่กลายเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกันจนถึงปัจจุบัน สองคนช่วยกันทำมาหากิน หนักเอาเบาสู้ทั้งรับจ้างทั่วไป หักข้าวโพด เกี่ยวข้าวฟ่าง กระทั่งงานสุดท้ายคืองานก่อสร้าง ก่อนที่ลุงชมจะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่ก็ไม่ได้ไปหาหมอเพื่อรักษาในทันที เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ลุงชมต้องกลายเป็นอัมพฤกษ์ แม้จะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง แต่ไม่สามารถประกอบอาชีพใดๆ จึงขาดรายได้ มีเพียงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเบี้ยยังชีพสำหรับผู้พิการ บัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อยรวม 1,700 บาท และมีสิทธิบัตรทอง แม้จะมีป้าสุนีย์คอยดูแล แต่ป้าเองก็เจ็บป่วยไม่ต่างกัน ทั้งโรคเบาหวาน ต้อกระจก และการเคลื่อนไหวไม่สะดวก จึงทำอาชีพรับจ้างอย่างแต่ก่อนไม่ได้ ทุกวันนี้ได้รับความช่วยเหลือจาก คำนึง หลักเมือง เพื่อนบ้าน ที่ให้พื้นที่ในการปลูกบ้านแบบไม่คิดค่าเช่า
“ความยากลำบากของลุง ทำให้บริษัทซีพีเอฟยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เลือกให้เข้าร่วมโครงการ “ซีพีเอฟคืนสุขผู้สูงวัย” โดยมอบเงินช่วยเหลือให้ทุกเดือน ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น ได้กินอิ่มนอนหลับ ทีมงานจากฟาร์มซีพีเอฟพระพุทธบาท กับ ทีม อสม. เข้ามาดูแลสุขภาพ ตรวจวัดความดัน มาให้กำลังใจ ทำให้มีความสุข ขอขอบคุณทีมงานทุกๆ คนที่คอยห่วงใยไปมาหาสู่ถามข่าวคราว และจัดโครงการดีๆ แบบนี้ให้กับผู้สูงอายุ” ลุงชม กล่าวด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มใจ
มนัสพันธ์ ดอนก้อนไพร นายอำเภอหนองโดน จ.สระบุรี กล่าวว่า ในช่วงที่ร่างกายยังปกติ ลุงชมเป็นผู้มีจิตอาสา สมัครเป็นตำรวจบ้านออกตรวจความเรียบร้อยร่วมกับเจ้าหน้าที่ โดยไม่มีสิ่งตอบแทน จึงกลายเป็นที่รักของคนในชุมชน เมื่อเจ็บป่วยก็ได้รับการดูแลอย่างดี การที่ซีพีเอฟคัดเลือกลุงชมเข้าร่วมโครงการนี้ เพื่อเป็นตัวแทน “ความกตัญญู” ตอบแทนความดีที่เคยสร้างมาถือเป็นแบบอย่างด้านการส่งเสริมการทำความดี โดยไม่หวังผลตอบแทน ซึ่งที่ผ่านมาทีมงานจิตอาสาจากธุรกิจสุกรของซีพีเอฟ ได้ร่วมกับภาครัฐ หน่วยงานบริหารส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร เข้ามาดูแลผู้สูงวัยไม่ทิ้งคนดีของสังคมให้โดดเดี่ยวและจะช่วยจนถึงที่สุดต่อไป
ส่วนที่บ้าน ยายสำลี โอภาพ วัย 74 ปี ชาวตำบลท่าคล้อ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ที่อาศัยอยู่เพียงลำพังบนพื้นที่สาธารณะของหมู่บ้าน ปลูกกระท่อมเพิงพักเล็กๆ กันแดดฝน หลังจากที่ย้ายมาอยู่กับสามีที่ท่าคล้อเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา จนกระทั่งสามีเสียชีวิต ยายสำลีต้องกลายเป็นผู้สูงอายุไร้ที่พึ่ง เพราะพื้นเพไม่ใช่คนที่นี่ เมื่อไม่มีทรัพย์สมบัติติดตัว ขาดคนดูแล ก็ต้องอาศัยชาวชุมชนช่วยเหลือ ได้พื้นที่ปลูกสร้างที่พักพอให้ปลูกผักกินอยู่ในแต่ละวัน มีเพียงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 700 บาทต่อเดือน และสิทธิบัตรทองเท่านั้น เมื่อซีพีเอฟรู้ถึงความเดือดร้อน ได้เร่งเข้ามาดูแลให้ร่วมโครงการ โดยมีทีมงานจิตอาสาจากฟาร์มท่าคล้อ ของธุรกิจไก่เนื้อ สระบุรี มาดูแล
“ดีใจมากที่บริษัทเข้ามาให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง มามอบเงิน 2,000 บาททุกเดือน เพื่อช่วยด้านสุขภาพ เครื่องอุปโภค-บริโภค เพราะยายอายุมากแล้ว ถึงจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง แต่ก็ทำอาชีพไม่ได้เหมือนแต่ก่อน ทำให้ไม่มีรายได้ ทุกวันนี้ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่เหงาเพราะมีทีมงานซีพีเอฟ กับ อบต. และอสม. มาเยี่ยมและตรวจสุขภาพเป็นประจำ ทุกคนเหมือนลูกหลานที่คอยห่วงใยใส่ใจ ทำให้คนแก่ที่ไม่มีที่พึ่งพิงได้กลับมามีกำลังใจต่อสู้ชีวิต” ยายสำลีกล่าว
จิราภรณ์ กิ่งสีดา ปลัดอำเภอแก่งคอยจ.สระบุรี บอกว่า ยายสำลี คือภาพสะท้อนของผู้สูงอายุที่เป็นคนดี มีจิตอาสาในช่วงที่ร่างกายสมบูรณ์ก็มีส่วนร่วมในงานชุมชนไม่เคยขาด จึงเป็นที่รักของคนในชุมชนแม้ปัจจุบันจะต้องอาศัยเพียงลำพังไร้ญาติ แต่ยังคงเข้าวัดฟังธรรม ทำบุญอยู่ตลอด เมื่อถูกทอดทิ้งชุมชนก็ช่วยกันดูแลเป็นอย่างดี เช่นเมื่อต้นปี 2565 ชาวชุมชนได้ช่วยกันปรับปรุงที่พักอาศัยให้คุณยาย และการที่ซีพีเอฟเข้ามาร่วมดูแลยายสำลี ในฐานะตัวแทน “ความกตัญญู”ที่มอบให้เพื่อตอบแทนความดี โดยไม่หวังผลตอบแทนที่ยายสำลีเคยสร้างไว้ ถือเป็นตัวอย่างของการส่งเสริมการทำความดีอีกรูปแบบหนึ่ง ขอขอบคุณโครงการดีๆที่มอบโอกาสให้ประชาชน และขอให้ดำเนินการเช่นนี้ตลอดไป
“ซีพีเอฟ ขอขอบคุณผู้สูงอายุทุกคนในโครงการ ที่เป็นเหมือนผู้เปิดโอกาสให้เราชาวฟาร์มและโรงงานที่กระจายอยู่ในชุมชนทั่วประเทศ ได้ทำความดีด้วยการเข้ามาดูแลผู้สูงวัยที่ไม่มีอาชีพ ขาดรายได้ บางรายมีความพิการของร่างกาย ถูกทอดทิ้งขาดคนเหลียวแล หรือบางรายก็ไม่ต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เราอาสามาช่วยส่งเสริมให้ความเป็นอยู่และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้คลายความทุกข์ยากในเบื้องต้นไปได้” สมบูรณ์ สุชาติผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กิจการไก่เนื้อ 3 บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ กล่าว
ด้าน นิรัตน์ ฮ่อยี่ซี่ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ด้านระบบมาตรฐานและบริหารงานคุณภาพ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ เล่าว่า โครงการนี้ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2554 ภายใต้กลยุทธ์ด้าน “สังคมพึ่งตน” ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ 3 เสาหลักสู่ความยั่งยืนของซีพีเอฟ คือ อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และดินน้ำป่าคงอยู่ เพื่อช่วยเหลือผู้สูงวัยรอบสถานประกอบการของบริษัทที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างจากโรงงาน ฟาร์ม หรือสาขาของบริษัท ไม่เกิน 5 กิโลเมตร ซึ่งมีฐานะยากจน ไม่มีรายได้ ถูกทอดทิ้ง ไม่มีผู้ดูแล หรือไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เป็นการให้ความช่วยเหลือตลอดชีวิต โดยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นเครือข่าย อาทิ อบต. เทศบาล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ดูแลทั้งความเป็นอยู่ สุขภาพร่างกาย และจิตใจ สร้างสังคมแห่งความกตัญญู และลดความเหลื่อมล้ำ
ซีพีเอฟ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยยึดค่านิยม 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน คือ ประโยชน์ต่อประเทศ ประชาชน และองค์กร รวมทั้งปลูกฝังพนักงานรู้จักการกตัญญู เกื้อกูล ร่วมกันดูแลผู้สูงอายุในชุมชน โดยตลอด 12 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2554-2565 ที่บริษัทฯดำเนินโครงการ “ซีพีเอฟ คืนสุขผู้สูงวัย” ได้ร่วมสร้างรอยยิ้ม เติมกำลังใจให้แก่ผู้สูงอายุ รวมทั้งสิ้น 874 ราย ในภูมิภาค 52 จังหวัดทั่วประเทศ โดยมีจิตอาสาของซีพีเอฟหลากหลายกลุ่มธุรกิจ อาทิ โรงงานผลิตอาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์แก่เกษตรกร โรงฟักไข่และศูนย์คัดไข่ โรงเพาะฟักลูกกุ้งโรงงานแปรรูปอาหาร กิจการสาขาและเครือข่ายการขายศูนย์ผลิตและปรับปรุงพันธุ์ปลาน้ำจืด เข้าดูแลผู้สูงวัยเสมือนเป็นคนในครอบครัวตอกย้ำสังคมแห่งความกตัญญูและสร้างแรงบันดาลใจในการกระตุ้นให้คนในสังคมตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงวัยให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี