เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เกาหลีเหนือประกาศความสำเร็จ การทดสอบยิง“ฮวาซอง-18” ขีปนาวุธแบบทิ้งตัวข้ามทวีป หรือ ICBM รุ่นใหม่ล่าสุดชนิดใช้เชื้อเพลิงแข็ง ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น 1 วัน และอ้างว่าเป็นการประสบความสำเร็จเป็นครั้งที่ 2 แล้ว โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือนเมษายนปีนี้ การยิงฮวาซอง-18 ชนิดเชื้อเพลิงแข็งล่าสุดนี้นับเป็นการปลดล็อกความก้าวหน้าครั้งสำคัญของโครงการอาวุธของเกาหลีเหนือที่ถูกคว่ำบาตร
แล้วขีปนาวุธชนิดเชื้อเพลิงแข็งคืออะไร เหตุใดจึงเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าปล่อยให้เกาหลีเหนือมีขีปนาวุธชนิดนี้
อังกิต พันดา ผู้เชี่ยวชาญนโยบายนิวเคลียร์ แห่ง Carnegie Endowment for International Peace ให้อรรถาธิบายเกี่ยวกับขีปนาวุธชนิดใช้เชื้อเพลิงแข็งว่าใช้เชื้อเพลิงที่เป็นแหล่งพลังงาน ที่ทำมาจากส่วนผสมทางเคมีชนิดแข็ง (solid chemical mixture) โดยเชื้อเพลิงชนิดแข็งที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนขีปนาวุธ นั้น จะถูกติดตั้งติดไปกับลำตัวขีปนาวุธตั้งแต่ต้นหรือตั้งแต่การสร้างขีปนาวุธ ทำให้ขีปนาวุธชนิดนี้ อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ทันที แบบเดียวกับจรวดประทัดในทางตรงข้าม ขีปนาวุธชนิดเชื้อเพลิงเหลวจะต้องเติมเชื้อเพลิงเหลวและตัวเติมออกซิเจน หรือ oxidizer ลงในขีปนาวุธช่วงก่อนที่จะยิง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ช้าและยุ่งยาก
ด้าน เชือง เซือง-จาง ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาเกาหลีเหนือ แห่งสถาบัน Sejong Institute ชี้ว่า ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้การเตรียมยิงขีปนาวุธเชื้อเพลิงเหลวต้องใช้เวลานาน เปรียบเหมือนกับการที่เราต้องเสียเวลาในการเติมน้ำมันใส่รถยนต์ และหลังจากเตรียมพร้อมขีปนาวุธเชื้อเพลิงเหลวแล้ว จะต้องยิงออกไปภายในระยะเวลาอันสั้นด้วย ส่วนขีปนาวุธเชื้อเพลิงแข็ง ต้องมีการเก็บและบำรุงรักษาที่ดี และต้องจัดการอย่างระมัดระวังซึ่งถ้าทำไม่ได้ คุณภาพของขีปนาวุธชนิดนี้จะเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา และจะส่งผลให้การยิงขีปนาวุธล้มเหลว
ฮิโรคาสึ มัตสึโนะ โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น ให้ข้อมูลว่า ขีปนาวุธเชื้อเพลิงแข็งประจำการได้รวดเร็วกว่า ข้อดีที่สุดของมันคือ สามารถยิงได้ทันที เขายอมรับว่าฮวาซอง-18 ที่เกาหลีเหนือยิงเมื่อวันที่12 กรกฎาคมนั้น ดูเหมือนจะเป็นชนิดเดียวกับที่เกาหลีเหนือยิงทดสอบไปครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายนปีนี้ แถมยังคาดการณ์ว่า ขีปนาวุธร่อนอยู่ในอากาศได้นานถึง 74 นาที นานที่สุดเท่าที่เกาหลีเหนือเคยยิงมา ร่อนไกลได้เป็นระยะทาง 1,000 กิโลเมตร ที่ระดับความสูงสูงสุดเกินกว่า 6,000 กิโลเมตร และไม่มีรายงานความเสียหายจากการยิงขีปนาวุธลูกนี้ ซึ่งตกในทะเลญี่ปุ่น นอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะของญี่ปุ่น
เว็บไซต์สำนักข่าวเกียวโดนิวส์ ของญี่ปุ่นระบุว่า ระยะเวลาร่อนของขีปนาวุธลูกล่าสุดลบสถิติเดิมที่เกาหลีเหนือเคยทำไว้ที่ 71 นาที เมื่อเดือนมีนาคม2565 คาดว่าเป็นการแสดงแสนยานุภาพของกองทัพเกาหลีเหนือ ก่อนถึงวันครบรอบ 70 ปีของการสงบศึกสงครามเกาหลี ในวันที่ 27 กรกฎาคม
คำถามต่อมาคือ ICBM ชนิดเชื้อเพลิงแข็งของเกาหลีเหนือ ใช้การได้จริงหรือไม่
เรื่องนี้ ฮาน ควอน-ฮี จาก Missile Strategy Forum วิเคราะห์จากลักษณะของควันที่เกิดขึ้นด้านท้ายขีปนาวุธที่เกาหลีเหนือยิงทั้ง 2 ครั้ง ในเดือนเมษายนและกรกฎาคมปีนี้ว่า สอดคล้องกับลักษณะของขีปนาวุธชนิดใช้เชื้อเพลิงแข็งที่จะปล่อยควันขาวสกปรกออกมากลุ่มใหญ่ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจน ภายในไม่กี่วินาทีหลังจรวดถูกยิงออกไป การยิงทั้ง 2 ครั้งมีความคล้ายคลึงกันทางด้านเทคนิค โดยการยิงครั้งที่ 2 ล่าสุดนี้มีจุดประสงค์เพื่อพิสูจน์และยืนยันประสิทธิภาพและความแม่นยำของฮวาซอง-18
ส่วน ICBM ชนิดเชื้อเพลิงเหลว ซึ่งยังเป็นอาวุธหลักของเกาหลีเหนือในปัจจุบัน มีการยิงทดสอบซ้ำๆ มาตลอดแต่เป็นการยิงวิถีโค้งเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่วิธีการยิงขีปนาวุธที่จะใช้ในสถานการณ์จริงก่อให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับประสิทธิภาพที่แท้จริงของขีปนาวุธเชื้อเพลิงเหลวของเกาหลีเหนือ
เป็นที่ทราบกันดีกว่า กองทัพทั่วโลกส่วนใหญ่จะเริ่มต้นด้วยเทคโนโลยีขีปนาวุธเชื้อเพลิงเหลว แต่ต่อมาจะพยายามมีขีปนาวุธเชื้อเพลิงแข็ง ซึ่งต้องการเทคโนโลยีขั้นก้าวหน้ากว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่า กองทัพที่ก้าวหน้าทุกกองทัพจะมีขีปนาวุธเชื้อเพลิงแข็งประจำการผู้เชี่ยวชาญหลายคนให้ข้อมูลว่า กองทัพสหรัฐฯ มีขีปนาวุธเชื้อเพลิงแข็งประจำการทั้งแบบ ICBM และ SLBM แต่กองทัพรัสเซียกับจีนยังคงประจำการขีปนาวุธเชื้อเพลิงเหลวจำนวนมาก ส่วนกองทัพเกาหลีใต้ จากข้อมูลพบว่า มีขีดความสามารถทางเทคนิคสำหรับขีปนาวุธเชื้อเพลิงแข็ง และอาจมีขีปนาวุธชนิดนี้อยู่ในคลังแสงแล้วก็ได้ แต่ระยะการยิงยังครอบคลุมเพียงคาบสมุทรเกาหลีเท่านั้น
แล้วขีปนาวุธเชื้อเพลิงแข็งจะเป็นตัวพลิกสถานการณ์ได้หรือไม่?
คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือคุยว่า ฮวาซอง-18 ชนิดเชื้อเพลิงแข็งของตนนั้น จะเพิ่มขีดความสามารถในการโต้กลับด้วยนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนืออย่างล้ำลึก และผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็กล่าวว่า ขีปนาวุธชนิดนี้อาจพลิกสถานการณ์ความมั่นคงบนคาบสมุทรเกาหลี
คิม จอง แต แห่งสถาบัน Yonsei ชี้ว่า หากเกาหลีเหนือประจำการ ICBM ชนิดเชื้อเพลิงแข็ง ขีปนาวุธชนิดนี้ อาจเป็นตัวพลิกสถานการณ์ ในการทำสงครามของเกาหลีเหนือ โดยชี้ว่า แผนปัจจุบันของเกาหลีใต้ ในกรณีเกิดสงครามกับเกาหลีเหนือ คือการชิงลงมือโจมตีก่อน หรือที่เรียกว่า Kill Chain ซึ่งจะทำให้เกาหลีใต้สามารถชิงลงมือโจมตีก่อน ถ้าหากเกาหลีเหนือมีท่าทีจะยิงขีปนาวุธ แต่แผนการโจมตีดังกล่าวของเกาหลีใต้ จะทำได้ก็ต่อเมื่อหลังจากมีสัญญาณยืนยันว่า เกาหลีเหนือเตรียมยิงขีปนาวุธ แต่จะไม่มีสัญญาณดังกล่าวเกิดขึ้น หากว่าเกาหลีเหนือเตรียมยิงขีปนาวุธเชื้อเพลิงแข็งที่เล็งเป้าหมายไปยังเกาหลีใต้ อีกทั้ง ฮวาซอง-18 นั้น ยากแก่การตรวจจับมากกว่า ซึ่งอาจส่งผลให้สูตรการชิงลงมือก่อนของเกาหลีใต้ใช้การไม่ได้ไปเลย
อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ ไม่ให้ความสำคัญกับความหวาดหวั่นนี้ โดยระบุว่าเป็นเพียงความกังวลที่มากเกินไปเท่านั้น ขณะที่สหรัฐฯ จนถึงขณะนี้ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องพัฒนาการด้านขีปนาวุธล่าสุดของเกาหลีเหนือแต่อย่างใด
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี