“ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” บทบัญญัติ “มาตรา 112” แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งที่ผ่านมามีบางฝ่ายมองว่าเป็นปัญหาและเรียกร้องให้มีการแก้ไข (หรือแม้แต่บางส่วนที่ต้องการให้ยกเลิก) แต่ในอีกมุมหนึ่งก็มีคำถามย้อนกลับไปเช่นกันว่าจริงๆ แล้วมาจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน หรือสาเหตุอื่นใดของบรรดาผู้เรียกร้องเหล่านั้นหรือไม่
รายการ “แนวหน้า Talk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2566 ที่ผ่านมา ผศ.ดร.อานนท์ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ชวนมอง “เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับมาตรา 112” ที่พบเห็นในปัจจุบัน อาทิ 1.มาตรา 112 เป็น Lese Majeste Law (เลสเซ มาเจสเตลอว์) ซึ่งคำว่า Lese Majeste (เลสเซ มาเจสเต) ในภาษาฝรั่งเศส แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า To do wrong to the king (ทู ดู รอง ทู เดอะ คิง) หรือในภาษาไทยคือความผิดต่อพระเจ้าแผ่นดิน
ซึ่งกฎหมาย Lese Majeste Law นั้น หมายถึง ทำผิดอะไรต่อพระเจ้าแผ่นดินแม้เพียงเล็กน้อยก็โดนลงโทษใหญ่โตโดยสำหรับประเทศไทย ที่มาของ ป.อาญา มาตรา 112 ต้องย้อนไปสมัยรัชกาลที่ 5 ไทยหรือสยามในขณะนั้นมีปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ชาวต่างชาติทำผิดให้ขึ้นศาลต่างชาติไม่ใช่ศาลไทยเนื่องจากไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย โดยมองว่า “กฎหมายตราสามดวง” ที่ไทยใช้อยู่นั้นโหดร้ายไม่เป็นไปตามหลักสากล
“กฎหมายตราสามดวงเป็น Lese Majeste Law จริง คือเอามะพร้าวห้าวยัดปาก เอาใส่ตะพุ่นหญ้าช้างก็คือให้ช้างเตะ ริบเรือน ริบราชบาตรแล้วก็ประหารกุดหัว สมัยก่อนถ้ามีปัญหากับพระเจ้าแผ่นดินก็ให้ทำโทษอย่างนี้ ซึ่งกฎหมายตราสามดวงเขียนไว้แล้วต่างชาติไม่ยอมรับ รัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้นายโรลัง ยัคมินส์(Rolin-Jacquemyns) เป็นชาวเบลเยียม เขียนประมวลกฎหมายอาญาฉบับแรกของไทย แล้วก็เขียนมาตรา 112ไว้ในประมวลกฎหมายอาญาตั้งแต่นั้น แก้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5เป็นร้อยกว่าปี เพื่อแก้ปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขต” ผศ.ดร.อานนท์ กล่าว
ความเข้าใจผิดประการต่อมา 2.มาตรา 112 ทำให้ไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ได้ โดย หลักของ ป.อาญา มาตรา 112 มีเพียง 3 ข้อ คือ “ทำให้เสียชื่อเสียง” ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Defamation (ดีเฟมเมชัน),“ดูหมิ่น” ภาษาอังกฤษคือ Insultation (อินเซาล์เทชัน)และ “ข่มขู่อาฆาตมาดร้าย” ซึ่งในกรณีคนธรรมดาใครมาทำแบบนี้ก็สามารถฟ้องได้
ดังนั้นมาตรา 112 จึงไม่ใช่ Lese Majeste Law แต่ยังเป็นกฎหมายความมั่นคงเพราะพระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นองค์รัฐถาธิปัตย์ เป็นความมั่นคงของชาติ เนื่องจากพระเจ้าแผ่นดินทรงฟ้องเองไม่ได้จึงให้คนอื่นฟ้องแทนได้ ส่วนกรณีมาตรา 112 ที่กำหนดโทษจำคุกไว้ตั้งแต่ 3-15 ปี นั่นเป็นการเขียนรวมมาตรา แต่ในความเป็นจริงมีสิ่งที่เรียกว่า “ยี่ต๊อก” หมายถึงแนวทางของศาลที่จำกำหนดโทษ
เช่น 3 ปี สำหรับการทำให้เสียชื่อเสียง 5 ปี สำหรับดูหมิ่น 7 ปี สำหรับข่มขู่อาฆาตมาดร้าย เป็นต้น ส่วนอัตราโทษสูงสุด 15 ปี ไม่มีการกำหนดไว้ เว้นแต่เป็นกรณีทำผิดซ้ำซากจริงๆ เท่านั้น ดังนั้นข้อเสนอแนะที่บอกว่า อยากให้สามารถวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ได้อย่างเสรี “จริงๆ แล้วการวิพากษ์วิจารณ์สามารถทำได้ แต่ต้องไม่ใช่การทำให้เสียชื่อเสียง ดูหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้าย” รวมถึงต้องไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย
ทั้งนี้ คนที่อ้างว่าเป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นบ้าง เสรีภาพทางวิชาการบ้าง แต่หากไปดูรัฐธรรมนูญจะเขียนว่าเสรีภาพเหล่านี้ 1.ต้องไม่ผิดกฎหมาย 2.ต้องไม่เป็นภัยความมั่นคง 3.ต้องไม่ขัดศีลธรรมอันดี 4.ต้องไม่ละเมิดผู้อื่น แต่การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระเจ้าแผ่นดิน ผิดทั้งกฎหมาย เป็นภัยความมั่นคง ขัดประเพณีไทยและยังละเมิดต่อผู้อื่น จึงไม่ใช่เรื่องเสรีภาพ หรือเป็นเสรีภาพที่เลยเถิดไปทับสิทธิคนอื่น
“ปลุกกระแสกันขึ้นมาให้ต่อต้าน 112 จะให้ยกเลิกกันให้ได้ จริงๆ ผมมองว่าเป็นการด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์หมดความศักดิ์สิทธิ์แล้วคนไม่เคารพนับถือ ซึ่งจริงๆ แม่บทของมาตรา 112 คือมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญ บอกว่าองค์พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในสถานะที่เคารพสักการะสูงสุดผู้ใดจะละเมิดมิได้ ก็คือต้องการจะละเมิด แต่ถ้าคนที่ไม่ต้องการจะละเมิด ไม่ต้องการไปดูหมิ่น ไปอาฆาตมาดร้ายไปทำให้เสียชื่อเสียง หมิ่นประมาท ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร” ผศ.ดร.อานนท์ ระบุ
ยังมีความเข้าใจผิดอีกประการหนึ่งคือ 3.มาตรา 112 เป็นกฎหมายที่ใช้กลั่นแกล้งกันได้ง่าย ผศ.ดร.อานนท์ กล่าวว่า แม้จะเป็นความจริงที่มีการนำมาตรา 112 ไปใช้กลั่นแกล้ง แต่สุดท้ายก็ต้องดูที่เจตนา อย่างตนไปขึ้นศาลก็ต้องกล่าวทวนถ้อยคำที่หมิ่นอยู่ตลอด แต่ก็ไม่ผิดเพราะเจตนาที่กล่าวก็เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และเอาเข้าจริง “การจะฟ้องมาตรา 112 ไม่ใช่เรื่องง่าย” เพราะ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) มีคณะกรรมการคดีความมั่นคง
โดยหากมีผู้ฟ้องมาตรา 112 ที่สถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ประจำสถานีก็ต้องสรุปสำนวนส่งมาให้คณะกรรมการชุดนี้พิจารณาว่าจะรับไว้เป็นคดีหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการฯ จะกำกับดูแลโดยรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ดูแลงานสอบสวน และพนักงานสอบสวนตามสถานีตำรวจทั่วไปจะไม่สามารถทำคดีได้จนกว่าคณะกรรมการนี้จะอนุมัติ นอกจากนั้น เมื่อดำเนินการตามขั้นตอนการสอบสวนในชั้นตำรวจแล้วเสร็จ ก่อนนำสำนวนไปส่งอัยการยังต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการนี้อีกครั้งว่าจะส่งต่อในชั้นอัยการหรือไม่ การกลั่นแกล้งจึงไม่ได้ทำกันง่ายๆ
“ผมมีประสบการณ์ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ พนักงานสอบสวนชอบเรียกผมไปเป็นพยาน คือบางคดีจำนวนเยอะเลยทีเดียวที่พนักงานสอบสวนเอามาให้ผมดูแล้วผมคิดว่ายังไม่เข้าข่าย 112 ผมก็ให้ความเห็นไปว่าไม่ควรฟ้อง แล้วพนักงานสอบสวนก็บอกว่าเข้าผมก็ยืนยันว่าไม่เข้า สุดท้ายเขาก็เอาความเห็นผมไปยืนยันกับคณะกรรมการกลั่นกรองความมั่นคงว่ามันไม่เข้า ก็ไม่เป็นคดี มีคดีจำนวนมากที่ไม่เป็นคดีแล้วก็หายไป ซึ่งก็มีคนแจ้งเยอะแต่ไม่เป็นคดีเยอะ ถ้าหมิ่นจริงผมก็พูดตามข้อเท็จจริงทั้งหมด ผมไม่ได้เลือกว่าข้างไหน ดูที่เนื้อหา” ผศ.ดร.อานนท์ กล่าว
ผศ.ดร.อานนท์ ยังตั้งข้อสังเกตถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่ต้องการให้แก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า “มีต่างชาติบางประเทศเข้ามาสนับสนุนอยู่เบื้องหลังหรือไม่?” อย่างตนเองก็เคยเจอกับตัวคือมีเอกอัครราชทูตประเทศหนึ่งในทวีปยุโรป เชิญตนไปพบที่บ้านพักเพื่อพูดคุยประเด็นยกเลิกมาตรา 112 โดยขอให้ตนเข้าร่วมกับแนวทางนี้ ซึ่งตนก็ถกเถียงกับเอกอัครราชทูตท่านนี้อยู่ราว 3 ชั่วโมง และได้แย้งไปว่าสิ่งที่กำลังทำนี่คือการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ซึ่งเป็นการทำผิดตามสนธิสัญญาเวียนนา
ขณะเดียวกันยังมีแหล่งทุนต่างชาติ เช่น “National Endowment for Democracy (NED)” ซึ่งเป็นหน่วยงานเอกชนที่อยู่ในกำกับดูแลของกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา โดย NED จะให้เงินสนับสนุนสื่อมวลชนบางสำนัก และองค์กรภาคประชาสังคม (NGO) หลายองค์กร ที่เคลื่อนไหวบ่อนเซาะสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากอาจมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการครอบงำอำนาจของมหาอำนาจตะวันตกต่อประเทศไทย
โดยหากย้อนไปในยุคสงครามเย็น ซึ่งลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วโลกมีการพูดถึง “ทฤษฎีโดมิโน” ว่าด้วยหากประเทศหนึ่งกลายเป็นคอมมิวนิสต์ เหตุการณ์แบบเดียวกันก็จะลามไปยังประเทศข้างเคียงด้วย เช่น ในทวีปเอเชีย เมื่อจีนเป็นคอมมิวนิสต์ สักพักก็ลามไปเวียดนาม ลาว กัมพูชา ในขณะที่ประเทศไทย เวลานั้นมหาอำนาจตะวันตกสนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะเห็นว่านำความเจริญไปสู่พื้นที่ชนบทซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ได้ ก่อนที่ต่อมาประเทศไทยจะเริ่มมีสัมพันธไมตรีที่ดีกับจีน
“สถาบันพระมหากษัตริย์เข้มแข็ง เราก็ไม่เป็นแบบซีเรีย ไม่เป็นแบบอิรัก ไม่เป็นแบบประเทศที่เขาเข้าไปบุกรุกได้ พรรคการเมืองบางพรรคก็ถือหางตะวันตกแบบชัดเจน เข้าไปพบทูตเป็นประจำ ทูตก็ลงพื้นที่ไปแทรกแซงทางการเมืองซึ่งตามหลักสากลแล้วทำไม่ได้ หรืออย่างที่เรียกอานนท์ไปคุยก็ทำไม่ได้ ไม่ถูกต้อง เขาไม่ได้เรียกแค่อานนท์นะ เขาเรียกอีกหลายคน ผมไม่เอ่ยชื่อแล้วกัน ผมรู้อยู่
มันทุเรศถึงขนาดที่ NED ซึ่งเป็นหน่วยงานของส่วนราชการของสหรัฐอเมริกา ให้เงิน NGO ของไทยมาร่างรัฐธรรมนูญของไทย เท่ากับสหรัฐฯ จะมาร่างรัฐธรรมนูญของไทย ขอโทษนะครับ! ประเทศเดียวในโลกที่สหรัฐฯ เขียนรัฐธรรมนูญให้คือ ญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นเข้าสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วแพ้ ฉะนั้นสหรัฐฯ เขียนรัฐธรรมนูญให้ญี่ปุ่นใช้ เขาก็คงอยากทำอย่างนั้น แต่เราไม่ใช่ประเทศแพ้สงคราม” ผศ.ดร.อานนท์ กล่าว
ผศ.ดร.อานนท์ ย้ำว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศเอกราช จะให้ต่างชาติมาแทรกแซงได้อย่างไร” อีกทั้ง “สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีคุณค่ากับสังคมไทย” เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยและทำให้บ้านเมืองอยู่อย่างเป็นปกติสุข ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยเกิดวิกฤตทางการเมืองหลายครั้ง แต่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นความแน่นอนในความไม่แน่นอนทางการเมือง เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรือเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 คลี่คลายลงได้ก็ด้วยพระบารมี ซึ่งเมื่อคนทะเลาะกันถึงที่สุดก็ต้องมีใครสักคนที่เข้ามาห้าม และคนคนนั้นต้องมีบารมีมากพอ
ดังนั้นความพยายามบ่อนเซาะสถาบันพระมหากษัตริย์ก็คือการทำลายบารมีของสถาบันพระมหากษัตริย์ คนไทยจึงต้องเข้าใจร่วมกันว่าสถาบันพระมหากษัตริย์มีความสำคัญต่อความมั่นคงและทำให้ประเทศไทยอยู่รอดได้อย่างสงบร่มเย็น “ถ้าปราศจากสถาบันพระมหากษัตริย์สงครามกลางเมืองจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน” ยกตัวอย่าง เช่น ฝรั่งเศส จีน ที่เมื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็ยังฆ่ากันตายไปอีกนานหลายสิบปี ดังนั้นหากประเทศไทยไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ นักการเมืองก็จะตีกันเลือดนองแผ่นดิน
ในตอนท้าย ผศ.ดร.อานนท์ ยังตั้งข้อสังเกตถึงภูมิทัศน์การสื่อสารด้วยว่า “ทุกวันนี้สื่อทุกสื่อเลือกข้าง และคนรับสารก็ไม่เปิดรับสื่อที่อยู่ตรงข้ามกับข้างที่ตนเองเลือก” จริงอยู่ที่มีคนแนะนำตนว่า ควรเข้าไปนำเสนอข้อมูลอีกด้านในสื่อของอีกฝั่ง แต่ก็ไม่ค่อยมีโอกาสจะได้ทำแบบนั้น
จึงอยากให้ผู้ที่รับสื่อฝั่งที่เป็นปฏิปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์เปิดรับสื่ออีกฝั่งบ้าง จะได้เป็นการฟังแบบรอบด้านไม่ใช่ฟังความข้างเดียว
อย่างตนก็เข้าไปฟังสื่อที่เป็นปฏิปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์จนเป็นแฟนคลับ หรือหนังสือจากสำนักพิมพ์ที่เคลื่อนไหวในแนวทางนั้นตนก็อ่านแทบทุกเล่ม แต่ตนก็ไม่ได้คล้อยตาม เพราะสามารถพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริงได้ อย่างไรก็ตาม ที่น่าเป็นห่วงคือปัจจุบันคนรับสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่กลไกการทำงานคือเมื่อคนคนนั้นชอบเนื้อหาแบบใดระบบก็จะเลือกมาแต่เนื้อหาทำนองเดียวกัน ในขณะที่เนื้อหาที่ต่างออกไปจะไม่ถูกมองเห็น
ดังนั้นการ “รู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy)” ไม่ใช่รับสารแล้วเชื่อไปเสียทีเดียวจึงสำคัญ แต่นอกจากบทบาทของรัฐบาลหรือกระทรวงศึกษาธิการในการส่งเสริมหลักสูตรดังกล่าวในโรงเรียนแล้ว พ่อแม่หรือครอบครัวก็มีหน้าที่ด้วยและเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด หากพ่อแม่รู้ทันสื่อ สามารถสอนลูกให้มีภูมิคุ้มกันได้ก็จะไม่เป็นปัญหา แต่หากพ่อแม่ไม่สามารถสอนลูกได้ ลูกก็จะตกเป็นเครื่องมือของสื่อ แต่พ่อแม่ก็ต้องทำให้ดู
“ผมว่าลัทธิชังชาติเป็นปัญหา ชังชาติคือการโทษชาติตัวเอง สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดคือคนที่สมาทานลัทธิชังชาติจะไม่พัฒนาตัวเอง ประเทศไม่ดีฉันเลยไม่มีโอกาสก้าวหน้า สังคมไทยเป็นสังคมเปิดนะ ผมก็เติบโตมาจากเด็กต่างจังหวัด ฐานะปานกลางค่อนข้างจะยากจนด้วยซ้ำ ผมก็เรียนหนังสือ มุมานะหาทุนไปเรียนเมืองนอกได้โดยพ่อแม่ไม่เสียเงินสักบาท ดังนั้นสังคมไทยจริงๆ เป็นสังคมที่เปิดมากถ้าเทียบกับชาติอื่น
จริงๆ ถ้าเราใฝ่ฝันและเราพัฒนาตนเองให้มันดีขึ้นเราจะลุกขึ้นมายืนในที่ดีๆ ของสังคมได้ ไม่ใช่ไปโทษประเทศว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ การโทษว่าประเทศชาติไม่ดีไม่ทำให้ตัวคุณดีขึ้นแต่ทำให้ตัวคุณแย่ลง เพราะคุณมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง ทำให้คุณไม่พัฒนาตัวเอง มันเป็นการเสียโอกาสและเสียอนาคตของตัวคุณเอง” ผศ.ดร.อานนท์ ฝากข้อคิดทิ้งท้าย
หมายเหตุ : สามารถติดตามรายการ “แนวหน้า Talk” ดำเนินรายการโดย บุญยอด สุขถิ่นไทย ได้ผ่านทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงหัวค่ำโดยประมาณ!!!
"ปลุกกระแสกันขึ้นมาให้ต่อต้าน 112 จะให้ยกเลิกกันให้ได้ จริงๆ ผมมองว่าเป็นการด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์หมดความศักดิ์สิทธิ์แล้วคนไม่เคารพนับถือ ซึ่งจริงๆ แม่บทของมาตรา 112 คือมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญ บอกว่าองค์พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในสถานะที่เคารพสักการะสูงสุดผู้ใดจะละเมิดมิได้ ก็คือต้องการจะละเมิด แต่ถ้าคนที่ไม่ต้องการจะละเมิด ไม่ต้องการไปดูหมิ่น ไปอาฆาตมาดร้าย ไปทำให้เสียชื่อเสียง หมิ่นประมาท ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี