ปัญหาจำนวนประชากรลด เป็นโจทย์ใหญ่และยากของรัฐบาลหลายชาติในเอเชียที่แก้ไม่ได้สักที โดยเฉพาะในจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมถึงสิงคโปร์ ที่มีอัตราการเกิดต่ำ
ติดอันดับโลก สาเหตุหนีไม่พ้นเรื่องค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูเด็ก แม้รัฐจะออกนโยบายสนับสนุนให้คนมีบุตรและอัดฉีดเงิน แต่ก็ไม่ได้ผล
แม้ว่าภาพรวมทั้งเอเชียจะไม่ได้มีปัญหาเรื่องจำนวนประชากรสักเท่าไหร่ แต่ถ้ามองลึกลงไป จะพบว่าสถานการณ์ในหลายประเทศกำลังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะ 3 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
เกาหลีใต้ครองสถิติประเทศที่มีอัตราเจริญพันธุ์ต่ำที่สุดในโลกมาตั้งแต่ปี 2013 และปัญหานี้ก็เลวร้ายลงเรื่อยๆ ซึ่งรวมถึงจำนวนเด็กเกิดใหม่ ที่ลดลงจาก 400,000 คนเศษๆ เหลือเพียง 230,000 คน ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา
แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามอัดฉีดงบประมาณมากกว่า 360 ล้านล้านวอนหรือมากกว่า 9 ล้านล้านบาท เพื่อกระตุ้นการมีบุตรและสนับสนุนการเลี้ยงดูเด็กนับตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา แต่ก็ไม่สามารถพลิกสถานการณ์นี้ได้ ข้อมูลจากสำนักงานบริการข้อมูลสถิติเกาหลี ชี้ว่า อัตราเจริญพันธุ์ในเกาหลีใต้ลดลงติดต่อกันเป็นปีที่ 8 แล้ว จาก 1.239 ในปี 2015 เหลือเพียง 0.72 ในปี 2023
นั่นหมายความว่า ผู้หญิงเกาหลีใต้ 1 คน มีลูกไม่ถึง 1 คนทั้งๆ ที่ตัวเลขอัตราเจริญพันธุ์เพื่อรักษาจำนวนประชากรอยู่ที่ 2.1 นั่นคือผู้หญิง 1 คน ต้องมีลูก 2 คนขึ้นไปขณะที่มีการคาดการณ์ว่า อัตราเจริญพันธุ์ของเกาหลีใต้ในปีนี้น่าจะลดต่ำลงอีก เหลือเพียง 0.68 หรือน้อยกว่าตัวเลขที่ควรจะเป็นเกือบ 3 เท่า
กรุงโซล ปูซาน อินชอน และ แทกู คือ 4 เมืองที่มีอัตราเจริญพันธุ์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ ซึ่งทั้ง 4 เมืองนี้มีจุดร่วมเดียวกัน นั่นคือเป็นเมืองใหญ่และมีค่าครองชีพสูงติดอันดับต้นๆ ของประเทศ อย่างเมื่อปีที่แล้วกรุงโซลแซงหน้ากรุงโตเกียวของญี่ปุ่น คว้าตำแหน่งเมืองที่มีค่าครองชีพสูงเป็นอันดับ 9ของโลก
ขณะที่ธนาคารโลกอ้างอิงข้อมูลเมื่อปี 2021 ชี้ว่าเกาหลีใต้มีอัตราเจริญพันธุ์ต่ำที่สุดในเอเชีย ตามมาด้วยสิงคโปร์ จีน ญี่ปุ่น และ ไทย จุดที่น่าสนใจ คือ ล่าสุดทางการสิงคโปร์ออกมาประกาศตัวเลขอัตราเจริญพันธุ์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งลดลงเหลือเพียง 0.97 เท่านั้น นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สิงคโปร์ที่ตัวเลขนี้ลดลงต่ำกว่า 1 ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์ ระบุว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่คู่รักต้องเลื่อนแผนการแต่งงานในช่วงวิกฤตโควิด-19 ทำให้กระทบกับการวางแผนการมีบุตรตามมาด้วย
ส่วนในญี่ปุ่น ประเทศที่มีประชากรสูงอายุมากเป็นอันดับ 2 ของโลก กำลังเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายไม่ต่างกัน โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยตัวเลขเด็กเกิดใหม่เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 เหลือไม่ถึง 760,000 คน แต่กลับมีตัวเลขผู้เสียชีวิตใกล้แตะ 1,600,000 คน ทำให้ประชากรทั้งประเทศลดลงมากกว่า 830,000 คน
นอกจากนี้ ยังมีคู่รักจดทะเบียนสมรสในญี่ปุ่นไม่ถึง 500,000 คู่ เป็นครั้งแรกในรอบ 90 ปี ซึ่งด้วยวัฒนธรรมของเอเชียตะวันออก การไม่ได้แต่งงานก็มักตามมาด้วยการไม่มีบุตร โดย สส.ของพรรครัฐบาลญี่ปุ่น ระบุว่าปัญหาอัตราการเกิดต่ำเรียกได้ว่าเป็นภัยคุกคามของชาติเพราะกระทบไปถึงเศรษฐกิจและความมั่นคงทางสังคม
ข้อมูลจากสถาบันวิจัยในจีน ชี้ว่าอัตราค่าเลี้ยงดูเด็กตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 18 ปี ในเอเชียกับชาติตะวันตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะเกาหลีใต้และจีน ซึ่งถือเป็น2 ประเทศ ที่ถ้าต้องการจะเลี้ยงเด็กสักคนต้องใช้เงินมากที่สุดในโลกอย่างในเกาหลีใต้ ต้องถือเงินมากกว่า7 เท่าของรายได้ต่อปี ขณะที่จีนต้องมีมากกว่า 6 เท่า
ส่วนญี่ปุ่นดีขึ้นมาหน่อย อยู่ที่ 4.26 สูงกว่าสหรัฐฯ เล็กน้อย ขณะที่พ่อแม่ชาวฝรั่งเศสและออสเตรเลียสบายขึ้นมาหน่อย เพราะอัตราค่าเลี้ยงดูเด็ก 1 คน นาน 18 ปี อยู่ที่ราวๆ 2 เท่าของรายได้ทั้งปี ซึ่งตัวเลขนี้เป็นเพียงค่าเฉลี่ยที่เปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัว หรือ GDP ต่อหัวของแต่ละประเทศเท่านั้น
เรื่องเงินเป็นปัญหาใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นค่าเลี้ยงดูเด็ก ค่าครองชีพของพ่อแม่ รวมไปถึงต้นทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือค่าบ้านที่พุ่งสูงขึ้นในหลายประเทศ แต่เงินไม่ใช่ปัญหาเดียว โดยปัจจุบันผู้หญิงหลายคนเลือกไม่มีลูก เนื่องจากไม่ต้องการเสียสละชีวิตและโอกาสของตัวเอง โดยเฉพาะในเรื่องอาชีพการงาน จึงทำให้หลายบ้านผลักแผนมีลูกออกไปก่อน
อย่างเกาหลีใต้เอง ช่วงอายุของผู้หญิงที่มีลูกคนแรก ส่วนใหญ่อยู่ในวัย 30-34 ปี ตามมาด้วยช่วงอายุ 35-39 ปี ซึ่งช่วงวัยที่เลยเลข 3แบบนี้ สะท้อนว่าผู้หญิงอาจจะแต่งงานช้าลง หรืออาจจะเลือกความมั่นคงในอาชีพก่อนมีลูกก็เป็นได้
ส่วนที่จีน เจ้าหน้าที่ของนครซีอานถึงกับใช้งบประมาณ 700,000 หยวน(ประมาณ 3.5 ล้านบาท) ในการจัดซื้อลอตเตอรี่ หรือสลากกินแบ่งเพื่อแจกเป็นรางวัลให้กับคู่สมรสใหม่ ที่นำทะเบียนสมรสมาแสดงกับเจ้าหน้าที่ เป็นความพยายามในการส่งเสริมการแต่งงานในช่วงเวลาที่จีนมีอัตราการเกิดของทารกลดลง
จำนวนประชากรของจีนลดลงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันในปี 2023 โดยจำนวนทารกเกิดใหม่ลดลงเหลือครึ่งหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2016ในขณะที่การแต่งงานก็ลดลงต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2022 และเนื่องจากการแต่งงานมีความเกี่ยวข้องกับอัตราการเกิดของทารก
จีนเป็นประเทศที่มีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ทำให้สตรีที่เลือกที่จะมีลูกลดลงเรื่อยๆ โดยมีเหตุผลมาจากค่าใช้จ่ายที่สูงในการดูแลลูกและความไม่ต้องการที่จะแต่งงาน หรือการที่จะต้องหยุดพักการงานหรืออาชีพที่ทำอยู่ ในขณะที่ความไม่เท่าเทียมทางเพศยังมีอยู่
อัตราการเกิดต่ำถือเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ยกเว้นในแอฟริกา แต่สถานการณ์นี้จะรุนแรงแตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ ซึ่งเอเชียถือเป็นภูมิภาคหนึ่งที่น่าวิตกไม่น้อย ปัญหานี้ต้องเร่งแก้ไขเพราะถ้าเข้าสู่ช่วงที่ประชากรวัยเจริญพันธุ์ลดจำนวนลงแล้ว การเพิ่มจำนวนเด็กเกิดใหม่ก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี