วัดพระธาตุดอยตุง
ในโอกาสที่รัฐบาลได้ร่วมกับอินเดียอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุในพิพิธภัณฑ์ของอินเดียมาประดิษฐานให้ชาวไทยภาคเหนือได้ร่วมสักการะอย่างใกล้ชิดนั้น อาทิตย์นี้ขอตามรอยสยามไปสักการะพระธาตุองค์สำคัญที่ประดิษฐานมาก่อนแต่โบราณกาลไปที่ วัดพระมหาชินธาตุเจ้า หรือที่เรารู้จักกันดีว่าพระธาตุดอยตุง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณส่วนที่เรียกว่าหน้าอกของดอยนางนอน ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย อันเป็นภูมิสถานของชาวลัวะจักราชหรือชาวเขา ที่อยู่ห่างจากอำเภอเมืองเชียงรายประมาณ ๔๖ กม. เป็นพระธาตุที่อยู่บนยอดดอยสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณสองพันเมตร ตามตำนานสิงหนติโยนกและตำนานพระธาตุดอยทุง เมืองเชียงแสนกล่าวว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จมายังดอยดินแดง ประทับบนหินก้อนหนึ่งมีรูปทรงเหมือนมะนาวผ่าซีกและทำนายว่าที่นี่จะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระรากขวัญเบื้องซ้าย(กระดูกไหปลาร้า) และบอกพระอานนท์ว่า หลังพระองค์ปรินิพพาน ให้พระมหากัสสปะนำพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานที่นี่ เมื่อพ.ศ. ๑ สมัยพญาอชุตราช กษัตริย์ผู้ครองเมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น องค์ที่ ๓นั้น พระมหากัสสปะได้อัญเชิญโกศแก้วปัทมราช บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระรากขวัญเบื้องซ้าย (กระดูกไหปลาร้า) มายังเมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น แล้วแจ้งเหตุพระพุทธเจ้าได้ทำนายให้ทราบ
กัมมะโลฤๅษี ผู้อุปถากพระธาตุดอยตุง
ครั้งนั้นพญาอชุตราชยินดี ให้สร้างโกศเงิน โกศทองคำเข้าซ้อนโกศแก้วปัทมราช บูชาด้วยข้าวตอกดอกไม้ แล้วแห่ออกจากเมืองไปยังยอดดอยดินแดง พระมหากัสสปะตั้งโกศประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุบนหินที่พระพุทธเจ้าเคยประทับ แล้วอธิษฐานให้พระบรมสารีริกธาตุจมลงในหินประมาณ ๘ ศอก พญาอชุตราชขอซื้อที่จากปู่เจ้าลาวจกและย่าเจ้า ๑,๐๐๐ (ทอง) คำ ด้านละ๓,๐๐๐ วา และถวายครัวมิลักขุ ๕๐๐ ครัว ดูแลพระธาตุ พระมหากัสสปะได้ให้ทำตุง (ทุงหรือธง)เสายาว ๘ พันวา ตุงยาว ๗ พันวา กว้าง ๕๐๐ วาปักบูชาพระธาตุองค์นี้ จึงเรียกว่า ดอยตุง (ดอยทุง)แต่นั้นมา ปัจจุบันยังปรากฏหลุมปักตุงอยู่ข้างพระธาตุ กัมมะโลฤๅษีได้มาอยู่อุปัฏฐากพระธาตุบริเวณดอยมุงเมือง ต่อมาแม่กวางตัวหนึ่งมาดื่มน้ำปัสสาวะพระฤๅษี ตั้งท้องเกิดลูกเป็นกุมารีน้อย กัมมะโลฤๅษีเก็บมาเลี้ยง ตั้งชื่อว่านางปทุมมาวติ เมื่ออายุได้ ๑๖ ปี พญาอชุตราชได้มาสู่ขอนางไปเป็นมเหสีด้วยทองคำ ๔ แสนคำกัมมะโลฤๅษีให้นำทองคำนั้นไปหล่อเป็นรูปกวางสมมุติเป็นแม่ให้นางปทุมมาวติ ได้กราบไหว้ทุกวัน พ.ศ. ๑๐๐ สมัยพระองค์มังรายนราชกษัตริย์ผู้ครองเมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น องค์ที่ ๔ ตำนานสิงหนติโยนกว่า พระมหาวชิรโพธิเถระได้นำพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย ๑๕๐ องค์ ตำนานพระธาตุดอยทุงเมืองเชียงแสนว่า สุรเทโวฤๅษีได้นำพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย ๕๐ องค์พระองค์มังรายนราชยินดี ให้ทำโกศเงิน โกศทองคำโกศแก้วเข้าซ้อนกัน แล้วแห่ออกจากเมืองไปยังยอดดอยทุง (ดอยตุง) ตั้งโกศประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุบนหินที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุสมัยพญาอชุตราช แล้วอธิษฐานให้พระบรมสารีริกธาตุจมลงในหิน ประมาณ๗ ศอก พระองค์มังรายนราชให้ก่อเจดีย์ครอบหินสูง ๗ ศอก บุเงินจังโก ทองจังโก ประดับแก้ว๗ ประการ จัดฉลองพระธาตุ ๓ เดือน แล้วซื้อครัวมิลักขุ ๕๐๐ ครัว ที่พญาอชุตราชเคยถวายมาถวายพระธาตุอีกครั้ง ปู่เจ้าลาวจกและย่าเจ้าได้อุปัฏฐากพระธาตุ ด้วยอานิสงส์นี้ผู้อุปการะจึงไปจุติเป็นเทวบุตร และเทวธิดาบนสวรรค์ภายหลัง พ.ศ. ๒๑๙ สมัยพระองค์เพิง กษัตริย์ผู้ครองเมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่นองค์ที่ ๘ พระมหารักขิตเถระได้นำพระบรมสารีริกธาตุมา ๙ องค์ พระองค์เพิงให้ทำโกศเงินโกศทองคำ โกศแก้วเข้าซ้อนกัน แบ่งเป็น ๓ ส่วนส่วนหนึ่งบรรจุที่ดอยโยนกปัพพตะ ส่วนหนึ่งบรรจุที่พระธาตุดอยทุง (ดอยตุง) ส่วนหนึ่ง บรรจุที่พูกวาวหัวเวียงไชยนารายณ์เมืองมูลแต่ไม่สามารถประดิษฐานในหินที่เดียวกับที่เคยฝังพระบรมสารีริกธาตุแล้วได้ ด้วยมีการสร้างเจดีย์ทับแล้ว จึงสร้างเจดีย์อีกองค์ทางทิศตะวันออกของเจดีย์องค์เดิม เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในครั้งนี้ แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๒๑ ฉลองพร้อมกันทุกแห่ง ทำให้พระธาตุดอยตุง มีเจดีย์ ๒ องค์ สมัยต่อมามีตำนานสร้างพระธาตุช้างมูบอีกและนำต้นนิโครธมาจากกุสินารา แม้ว่าปัจจุบันยังไม่ค้นพบหลักฐานตามตำนานเก่าสมัยโยนกนครอ้างก็ยังปรากฏ พระธาตดอยตุง ๒ องค์ เดิมให้นับถือมาจนวันนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี