ปัญหาฝนตกหนักจนทำให้น้ำท่วมเป็นเรื่องปกติในบ้านเรา แต่สำหรับตะวันออกกลางที่ขึ้นชื่อเรื่องทะเลทรายและอากาศร้อนแล้ง ปัญหานี้พบเห็นได้น้อยครั้ง ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่เลวร้ายที่สุดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี ในรอบ 75 ปี
แม้จะผ่านมาแล้วหลายวัน แต่ถนนหนทางในนครดูไบ หนึ่งในเมืองสำคัญของยูเออี ยังคงจมอยู่ใต้น้ำการสัญจรเต็มไปด้วยความยากลำบาก ยวดยานต้องวิ่งฝ่าน้ำท่วมสูงถึงครึ่งค่อนคัน บางคันไปต่อไม่ได้เพราะเครื่องยนต์ดับ ขณะที่ถนนบางสายถูกปิด ประชาชนในชุมชนแห่งหนึ่งของเมืองยังคงพยายามที่จะรักษาบ้านเรือนที่ถูกน้ำท่วม ผู้คนเดินลุยน้ำ และใช้เรือเป่าลมและแพดเดิ้ลบอร์ด หรือเรือยืนพาย ในการเดินทาง หลายคนรายงานว่าน้ำทะลักเข้าบ้าน ขณะที่มีภาพที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย แสดงให้เห็นห้างสรรพสินค้าเต็มไปด้วยน้ำที่ไหลลงมาจากหลังคา
ด้านสำนักงานป้องกันภัยฉุกเฉิน กำลังทำงานหนักเพื่อเคลียร์ถนนที่มีน้ำท่วมขัง โดยใช้รถดับเพลิงสูบน้ำออกทั่วเมือง ซึ่งเกือบจะหยุดนิ่ง ขณะที่บางคนประเมินความเสียหายต่อบ้านเรือนและธุรกิจของตน หลังจากพายุฝนถล่มอย่างหนักจนเกิดน้ำท่วมฉับพลันในยูเออี เป็นเหตุการณ์ที่ร้อยวันพันปีจะเกิดขึ้นสักครั้ง
เช่นเดียวกับที่บรรยากาศภายในท่าอากาศยานระหว่างประเทศดูไบ ที่ยังคงปั่นป่วน เที่ยวบินหลายร้อยเที่ยวต้องยกเลิกหรือเลื่อนการเดินทาง กระทบต่อผู้โดยสารหลายพันที่ยังคงปักหลักอยู่ที่อาคารผู้โดยสาร และไม่รู้ชะตากรรมว่าพวกเขาจะได้ขึ้นเครื่องเมื่อใด แต่ที่แน่ๆ ภาพของเครื่องบินที่ต้องแล่นลุยน้ำท่วมสูงบนรันเวย์ ขณะแท็กซี่เพื่อทะยานขึ้นจากสนามบิน คงเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนที่ได้พบเห็นไปอีกนาน
ฝนตกหนักเกิดขึ้นไม่บ่อยนักในยูเออี และที่อื่นๆ ในคาบสมุทรอาระเบีย ซึ่งโดยทั่วไปขึ้นชื่อในเรื่องสภาพอากาศแบบทะเลทรายที่แห้งแล้ง อุณหภูมิอากาศในฤดูร้อนอาจสูงถึง 50 องศาเซลเซียส ประเทศในแถบนี้ ทั้งยูเออี โอมาน กาตาร์ และบาห์เรน มีทะเลทรายกินพื้นที่เกือบทั้งประเทศ ยกเว้นก็แต่จุดที่อยู่ติดกับทะเล ข้อมูลจากธนาคารโลก ประเมินปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาเฉลี่ยในแต่ละปี พบว่ายูเออี มีประมาณ 140-200 มิลลิเมตรเท่านั้น
ขณะที่พื้นที่ตอนเหนือของโอมานจะมีฝนตกลงมาเยอะกว่าตอนใต้สูงสุด 300 มิลลิเมตรต่อปี ส่วนบาห์เรนและกาตาร์ ฝนตกเฉลี่ยปีละไม่ถึง 100 มิลลิเมตร เทียบไม่ได้กับบ้านเราที่ปกติจะมีฝนตกเฉลี่ยปีละ 1,200-4,500 มิลลิเมตร หรือมากกว่าในตะวันออกกลางกว่า 20 เท่า
ดังนั้น นอกจากการสร้างเขื่อนเก็บน้ำฝนและการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลแล้ว ยูเออียังหันมาให้ความสำคัญกับโครงการทำฝนเทียมด้วย ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1990 ก่อนที่จะหันไปร่วมมือกับหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ และแอฟริกาใต้ทำโครงการนี้ โดยยูเออีมีสถานีตรวจวัดสภาพอากาศมากกว่า 60 แห่งและมีเครื่องบินทำฝนเทียมอย่างน้อย 6 ลำ
ขณะที่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมายูเออีทำฝนเทียมหวังแก้ปัญหาฝนแล้งบ่อยครั้งและอัดฉีดงบประมาณพัฒนาโครงการ 1,500,000 ดอลลาร์สหรัฐ แนวคิดที่แพร่หลายนี้ทำให้บางคนออกมาเชื่อมโยงเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่กับการทำฝนเทียม
มีการหยิบยกคำถามเกี่ยวกับว่าการทำฝนเทียม ที่หรือเรียกคำอย่างเป็นทางการว่า “การเพาะเมฆ” (cloud seeding) อาจเป็นสาเหตุให้เกิดฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมรอบนี้หรือไม่ โดยการเพาะเมฆ ถือเป็นกระบวนการ ซึ่งฉีดสารเคมีเข้าไปในก้อนเมฆเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำฝนในสภาพแวดล้อมที่มีปัญหาการขาดแคลนน้ำ แต่หน่วยงานอุตุนิยมวิทยาของยูเออี บอกกับรอยเตอร์สว่า ไม่มีการปฏิบัติการดังกล่าวก่อนเกิดฝนตกหนักช่วงสัปดาห์ที่แล้ว
ข้อมูลที่รวบรวมจากสื่อหลายสำนัก ชี้ว่าในช่วง 24 ชั่วโมง ระหว่างที่ฝนพัดถล่มดูไบในวันจันทร์จนถึงวันอังคารที่แล้ว สามารถวัดปริมาณน้ำฝนในเมืองนี้ได้มากกว่า 140 มิลลิเมตร หรือในเมืองอัล ไอน์ ที่ติดกับพรมแดนโอมาน ปริมาณน้ำฝนในช่วง 24 ชั่วโมง ทะลุ 250 มิลลิเมตรสูงกว่าปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั้งปีของยูเออีทั้งประเทศเสียอีก ขณะที่ปริมาณน้ำฝนที่ตกในโอมานระหว่างวันอาทิตย์ถึงวันพุธที่แล้ว วัดได้กว่า 230 มิลลิเมตร มากเทียบเท่าปริมาณน้ำฝนทั้งปี หรือบาห์เรนกับกาตาร์ก็มีสถานการณ์ไม่ต่างกัน ฝนตกเพียงแค่ 2 วัน ก็มีปริมาณน้ำฝนพอๆ กับทั้งปี
ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมามากขนาดนี้ ประกอบกับการยืนยันจากทางการว่าไม่ได้มีการทำฝนเทียมในช่วงที่ผ่านมา ทำให้สามารถฟันธงได้ว่าการทำฝนเทียมไม่ได้เป็นสาเหตุของภัยธรรมชาติในครั้งนี้
ผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่า ฝนตกหนักครั้งนี้น่าจะเกิดจากระบบสภาพอากาศปกติที่เลวร้ายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย เอสรา อัล นักบีนักพยากรณ์อาวุโสประจำศูนย์อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของรัฐบาลยูเออี กล่าวว่าระบบความกดอากาศต่ำในชั้นบรรยากาศชั้นบน ควบคู่ไปกับความกดอากาศต่ำที่พื้นผิวโลก ทำหน้าที่เหมือนแรง “บีบ”ในอากาศ การบีบตัวดังกล่าวรุนแรงขึ้นจากความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นที่ระดับพื้นดินกับอุณหภูมิที่เย็นกว่าที่สูงขึ้นไป ทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรง และว่า “ปรากฏการณ์ผิดปกติ” ไม่ใช่เรื่องที่ไม่คาดคิดในเดือนเมษายน เนื่องจากเมื่อฤดูกาลเปลี่ยนแปลงความกดอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมเสริมว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดพายุด้วย
ทั้งนี้ อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ ทำให้เกิดเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงมากขึ้นทั่วโลก ซึ่งรวมทั้งฝนตกหนักขึ้น เห็นได้ชัดว่า วิกฤตโลกร้อนกำลังทำให้โลกต้องเผชิญกับสภาพอากาศสุดขั้ว และสถานการณ์นี้เลวร้ายลงทุกปี
สำหรับปัญหานี้ คนทั้งโลกต้องช่วยกันก่อนที่จะสายเกินแก้
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี