หนึ่งในความสัมพันธ์ทางการเมืองที่ถูกจับตามองมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ คือมิตรภาพที่ไม่มีใครคาดคิดระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กับ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก และบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 21 เพราะเพียง 6 เดือน หลังจากที่เคยเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์อย่างรุนแรง มัสก์เปลี่ยนบทบาทมาเป็นหัวหอกในการผลักดันแนวทางปฏิรูประบบราชการแบบฝ่ายขวาโดยมีอำนาจในรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด
มัสก์ และ ทรัมป์ ไม่ใช่พันธมิตรกันตั้งแต่ต้น ย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 มัสก์เคยลาออกจากที่ปรึกษาทำเนียบขาวเพื่อต่อต้านการถอนตัวของสหรัฐฯออกจากข้อตกลงปารีสด้านสิ่งแวดล้อมและแสดงความไม่พอใจต่อหลายๆ นโยบายของทรัมป์ แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ โจ ไบเดน ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และเลือกสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่มีสหภาพแรงงานเป็นฐาน แทนที่จะให้ความสำคัญกับ Tesla ของมัสก์ ทำให้เขาเริ่มเบนเข็มไปทางขวา โดยแสดงความไม่พอใจผ่านแพลตฟอร์ม X และเริ่มมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมมากขึ้น
ในช่วงต้นของการเลือกตั้งปี 2024 มัสก์เคยสนับสนุน รอน ดีแซนติสผู้ว่าการรัฐฟลอริดา แต่เมื่อดีแซนติสพ่ายแพ้ มัสก์ก็เริ่มเข้าใกล้ทรัมป์มากขึ้นและกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทรัมป์รับฟังมากที่สุดในเรื่องเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ
เหตุการณ์ที่กระตุ้นให้มัสก์สนับสนุนทรัมป์อย่างเต็มตัวคือ เหตุลอบยิงทรัมป์ในเมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งทำให้เขาเร่งสนับสนุนแนวทางรัฐบาลที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ โดยไม่ได้ช่วยเหลือแค่ด้านการเงิน แต่ยังเสนอแนวคิดปฏิรูปรัฐบาลที่ไม่เคยมีมาก่อน
หลังจากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งมัสก์ได้รับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล(Department of GovernmentEfficiency - DOGE) ซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่ที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อปฏิรูประบบราชการตามแนวคิด “ลดขนาดรัฐเพิ่มประสิทธิภาพ”
ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง มัสก์ เดินหน้า ใช้ AI แทนข้าราชการจำนวนมากลดจำนวนพนักงานภาครัฐ และนำแนวคิดแบบซิลิคอนแวลลีย์มาใช้ในรัฐบาล ทำให้เกิดทั้งเสียงชื่นชมจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมและเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากข้าราชการ
หนึ่งในมาตรการที่รุนแรงที่สุดของมัสก์ คือ การรื้อสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ(USAID) ซึ่งเป็นเครื่องไม้เครื่องมือหลักของวอชิงตัน ในการป้อนเงินสนับสนุนโครงการทางการเมืองต่างๆ ในต่างแดน ภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ เว็บไซต์ของ USAID ถูกปิด โซเชียลมีเดียถูกลบเจ้าหน้าที่หลายร้อยคนถูกปลด และงบประมาณถูกโอนกลับมาใช้ในประเทศ มัสก์ ประกาศว่า USAID เป็นองค์กรอาชญากรรม ที่ใช้เงินภาษีอเมริกันไปสนับสนุนต่างชาติอย่างไม่จำเป็น และอ้างว่าองค์กรแห่งนี้ให้เงินทุนสนับสนุนการวิจัยอาวุธชีวภาพ
ล่าสุด มัสก์มีถ้อยแถลงในที่ประชุม World Governments Summitในนครดูไบ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ก.พ. ประกาศว่า รัฐบาลของทรัมป์จะเดินหน้าดำเนินการเพื่อยุติโครงการต่างๆ ที่ส่งเสริมหลักการ “ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน(Diversity, Equity, and Inclusion หรือ DEI)” ทั่วโลก เพราะหากยังปล่อยให้เดินหน้าหลักการ DEI ต่อไป และหลักการนี้ถูกนำไปใช้กับเรื่องบ้าๆ ที่เต็มไปด้วยสิ่งจอมปลอมและไม่สะท้อนความเป็นจริง ไปจนถึงเรื่องอื่นๆ อย่างเช่นปัญญาประดิษฐ์ มันก็จะเป็นเรื่องง่ายที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ได้สังคมที่ไม่พึงปรารถนา
เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคม มัสก์ อ้างว่า DOGE ช่วยประหยัดเงินให้สหรัฐฯมากกว่าวันละ 1,000 ล้านดอลลาร์ ด้วยการยกเลิกสัญญาต่างๆ กว่า 100 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับโครงการ DEI ระงับการจ้างงานผู้คนในตำแหน่งต่างๆ ที่ไม่มีความจำเป็น ยุติให้การปกป้องบุคคลข้ามเพศ และหยุดการจ่ายเงินแก่องค์การต่างชาติที่ไม่เหมาะสม
แม้ว่ามัสก์จะเป็นหนึ่งในบุคคลที่ใกล้ชิดทรัมป์ที่สุด แต่เขากลับ ไม่ต้องรายงานโดยตรงต่อทรัมป์ และมักทำงานร่วมกับที่ปรึกษาระดับสูงของทรัมป์ เช่น สตีเฟน มิลเลอร์ และ รัสเซลโวห์ต มากกว่าทรัมป์เอง แม้ทรัมป์จะให้สัมภาษณ์ว่าสิ่งที่มัสก์ทำจะต้องได้รับการอนุมัติจากเขาก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติดูเหมือนว่าอภิมหาเศรษฐีรายนี้ กำลังบริหารงานบางส่วนของรัฐบาลสหรัฐฯ “ตามความพอใจของตนเอง” และไม่มีมาตรการควบคุมใดที่สามารถบังคับใช้กับเขาได้จริงๆ
อิทธิพลของมัสก์ยิ่งเห็นได้ชัดเมื่อ X Æ A-12 (X) ลูกชายวัย 4 ขวบของมัสก์ ปรากฏตัวในห้องทำงานรูปไข่(Oval Office) ของทำเนียบขาว ระหว่างการประชุมระดับสูงกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเพราะมัสก์สามารถพาลูกชายเข้าไปใน Oval Office ได้อย่างอิสระ เป็นเหตุการณ์ที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นกับบุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกครอบครัวของประธานาธิบดี จนถูกนำมาเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมการเมืองของเผด็จการที่มักนำครอบครัวเข้าสู่เวทีอำนาจเพื่อปูทางในระยะยาว
ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่าง มัสก์ และ ทรัมป์ ยังกำลังก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการผสมผสานระหว่างอำนาจทางธุรกิจและอำนาจทางการเมืองในสหรัฐฯ เพราะการเข้าสู่การเมืองของมัสก์ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับขอบเขตอำนาจของภาคเอกชนที่มีต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาล นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า มัสก์กำลังพยายามขยายอิทธิพลของตนเข้าสู่การเมืองอย่างเป็นรูปธรรม และอาจมีเป้าหมายทางการเมืองที่สูงขึ้นในอนาคต
เห็นได้จากรายงานชิ้นล่าสุดของดิ อินดีเพนเดนท์ สื่ออังกฤษเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ก.พ. ที่เผยเอกสารกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เตรียมการจะสั่งซื้อรถหุ้มเกราะจากบริษัทเทสลาของมัสก์ โดยใช้งบปี 2025 สำหรับข้อตกลงมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ ระยะสัญญานาน 5 ปี ถือเป็นดีลมูลค่าสูงสุดของกระทรวงในปีนี้
ดิ อินดีเพนเดนท์ ยังรายงานด้วยว่า บริษัทสเปซเอ็กซ์ ของมัสก์ ยังได้สัญญามูลค่า 39 ล้านดอลลาร์ จากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯด้วย ในขณะที่เจ้าตัวกำลังพยายามตัดงบทั่วรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ผ่าน DOGE นั่นยิ่งเพิ่มการตรวจสอบและความสงสัยถึงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
ริชาร์ด เพนเตอร์ อดีตที่ปรึกษาจริยธรรมทำเนียบขาวและศาสตราจารย์ทางกฎหมาย ทวีตบนแพลตฟอร์ม Xว่า “นี่เป็นสิ่งที่คนเหล่านี้เรียกว่า “ประสิทธิภาพ” เช่นนั้นหรือ?” ส่วน ทริสทัน สเนลล์ อัยการที่เคยดำเนินคดีมหาวิทยาลัยทรัมป์ที่อื้อฉาวมาแล้ว วิจารณ์อย่างเดือดดาลว่า “แผนของมัสก์ : ปิดส่วนต่างๆ ของรัฐที่ตรวจสอบเขาอ้างว่าเขากำลังหยุดการใช้เงินของรัฐ...(แท้จริงแล้ว) เอาเงินให้ตัวเองทั้งหมด”
ข้อวิตกของมัสก์เกี่ยวกับเรื่องนี้ที่เริ่มยากจะสลัดหลุด ประกอบกับความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์และมัสก์ที่ดูเหมือนจะแน่นแฟ้น อาจไม่ยั่งยืนในระยะยาว เนื่องจากบุคลิกที่แข็งแกร่งและความต้องการควบคุมของทั้ง 2 ฝ่ายจนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและการแยกทางกันในอนาคต และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันยุคใหม่
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี