ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาเปรียบดั่งเหรียญสองด้าน ด้านหนึ่งคือสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สืบเนื่องมาช้านาน อีกด้านคือข้อพิพาทชายแดนที่ยังคงเป็นโจทย์ท้าทายในยุคปัจจุบัน การทำความเข้าใจรากเหง้าของปัญหาและความพยายามแก้ไข คือกุญแจสู่ความสงบสุขร่วมกัน
รากฐานประวัติศาสตร์: มรดกอาณานิคมและคำพิพากษา
สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส (พ.ศ.2447, 2451) : คือจุดเริ่มต้นสำคัญของการปักปันเขตแดนสมัยใหม่ระหว่างสยาม (ไทย) กับดินแดนในอารักขาของฝรั่งเศส (กัมพูชา) สนธิสัญญากำหนดให้ใช้ "เส้นสันปันน้ำ" เป็นหลักในการแบ่งเขตในหลายพื้นที่ รวมถึงบริเวณปราสาทพระวิหาร แผนที่ที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนผสมสยาม-ฝรั่งเศสจัดทำขึ้น (โดยเฉพาะแผนผังอัตราส่วน 1:200,000) เป็นเอกสารหลักอ้างอิง แต่กลับกลายเป็นชนวนความขัดแย้งในเวลาต่อมา เนื่องจากทั้งสองฝ่ายตีความความถูกต้องและการปฏิบัติตามสนธิสัญญาไม่ตรงกัน
คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (2505): ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนดินแดนของกัมพูชา โดยอิงตามแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามสนธิสัญญา ซึ่งไทยยอมรับในเวลานั้น คำพิพากษาระบุชัดเจนว่าการตัดสินนี้จำกัดเฉพาะ "อาณาเขตของปราสาทพระวิหาร" เท่านั้น **ไม่ได้ตัดสินเรื่องเส้นเขตแดนโดยรอบหรือพื้นที่ใกล้เคียง** ซึ่งนำไปสู่ความไม่ชัดเจนและการโต้แย้งในพื้นที่โดยรอบ
พื้นที่ข้อพิพาทสำคัญ: ความซับซ้อนบนบกและในทะเล
1. ปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ: แม้ตัวปราสาทตกเป็นของกัมพูชาตามคำตัดสินปี 2505 แต่เส้นทางขึ้นปราสาทและพื้นที่เชิงเขาโดยรอบยังคงเป็นประเด็นถกเถียงเรื่องอธิปไตย ส่งผลให้เกิดการปะทะทางทหารหลายครั้ง
2. ช่องบก (สามเหลี่ยมมรกต): พื้นที่รอยต่อสามจังหวัด (ศรีสะเกษ-อุบลราชธานี-จันทบุรี) ของไทยและจังหวัดพระวิหารของกัมพูชา เป็นพื้นที่ป่ารกทึบที่เส้นเขตแดนไม่ชัดเจน ทั้งสองฝ่ายอ้างกรรมสิทธิ์ กัมพูชาอ้างอิงแผนที่ 1:200,000 และหลักฐานการครอบครองทางประวัติศาสตร์ ขณะที่ไทยยึดถือหลักการปักปันตามสภาพภูมิศาสตร์ (เช่น สันปันน้ำ) และความต่อเนื่องของการบริหารจัดการ
3. กลุ่มปราสาทตาเมือน และ ตาควาย: กลุ่มโบราณสถานขอมใกล้ชายแดนจังหวัดสุรินทร์ ความขัดแย้งมุ่งเน้นที่การตีความเส้นเขตแดนในสนธิสัญญา 1907 โดยเฉพาะปราสาทบางองค์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิ
4. เกาะกูด : เกาะในอ่าวไทยใกล้จังหวัดตราด กัมพูชาอ้างว่าเกาะกูดเป็นของตนตามแผนที่ 1:200,000 ที่จัดทำขึ้นในยุคอาณานิคมฝรั่งเศส ขณะที่ไทยยืนยันว่าแผนที่ดังกล่าวคลาดเคลื่อน และอ้างสิทธิเหนือเกาะกูดตามหลักภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์การบริหาร
5. พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area - OCA): พื้นที่ในอ่าวไทยประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร ที่ทั้งสองประเทศต่างอ้างสิทธิในการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ การเจรจาแบ่งเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) ยังไม่บรรลุข้อตกลง เนื่องจากต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของเวียดนามซึ่งมีชายฝั่งติดกับพื้นที่นี้ด้วย
เหตุการณ์สำคัญ:
ความตึงเครียดรอบปราสาทพระวิหาร ( 2551-2554): การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียวในปี 2551 นำไปสู่ความตึงเครียดสูงสุด การปะทะทางทหารหลายครั้งเกิดขึ้นบริเวณโดยรอบปราสาทและที่ช่องบก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปะทะรุนแรงในเดือน กุมภาพันธ์ และ เมษายน 2554 ที่ช่องบก ส่งผลให้มีทหารและพลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย
การยื่นเรื่องต่อศาลโลก (2554): กัมพูชายื่นคำร้องขอตีความคำพิพากษาปี 2505 ต่อศาลโลก ไทยคัดค้านอำนาจศาล ศาลโลกมีคำสั่งชั่วคราวให้ทั้งสองฝ่ายถอนทหารออกจากพื้นที่พิพาทโดยรอบปราสาทพระวิหารและสร้างเขตปลอดทหาร ศาลได้ตัดสินในปี 2556 ยืนยันคำสั่งชั่วคราวและขยายขอบเขตการถอนทหารออกไป
สถานะปัจจุบันและความพยายามแก้ไข:
ในปัจจุบันทั้งสองฝ่ายใช้กลไกการเจรจาทางทูตและการทหารเพื่อลดความตึงเครียดและแก้ไขปัญหาอย่างสันติ
คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC): เป็นกลไกหลักในการเจรจาปักปันเขตแดนบนบกโดยละเอียด อาศัยหลักสนธิสัญญาเดิม หลักกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักการปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้ายังเป็นไปอย่างช้าๆ และต้องเผชิญกับความซับซ้อนทางเทคนิคและการเมืองภายในของทั้งสองประเทศ
คณะทำงานร่วมด้านเขตแดน (JWG): เน้นการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและป้องกันเหตุปะทะทางทหารในพื้นที่ชายแดน
การเจรจาเขตแดนทางทะเล: มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านเขตแดนทางทะเล แต่การเจรจายังไม่คืบหน้าไปไกลนัก เนื่องจากความซับซ้อนทางเทคนิคและความเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ของประเทศที่สาม (เวียดนาม)
บทเรียนจากอดีตสู่การสร้างสันติภาพ:
1. ความรุนแรงในอดีตพิสูจน์แล้วว่าไม่มีผู้ชนะ มีแต่ความสูญเสียทั้งสองฝ่าย การเจรจาอย่างสันติผ่านกลไกที่มีอยู่ (JBC, JWG) และภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้นที่นำไปสู่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
2. การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ (Confidence-Building Measures): ความร่วมมือในด้านอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทโดยตรง เช่น การค้าชายแดน การสาธารณสุข การจัดการภัยพิบัติ ช่วยลดความหวาดระแวงและสร้างบรรยากาศที่ดีต่อการเจรจา
3. การมีส่วนร่วมของประชาชนและสื่อ: การให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นกลางต่อสาธารณชนในทั้งสองประเทศเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ประเด็นชาตินิยมสุดโต่งมาขัดขวางกระบวนการสันติภาพ
4. การแสวงหาผลประโยชน์ร่วม (Win-Win): โดยเฉพาะในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล การมองหากรอบความร่วมมือในการจัดการทรัพยากร (เช่น ร่วมพัฒนา) ก่อนการปักปันเขตแดนชัดเจน อาจเป็นทางออกที่สร้างประโยชน์ให้ทั้งสองฝ่าย
5. ความอดทนและวิสัยทัศน์: การแก้ไขข้อพิพาทชายแดนที่มีรากลึกทางประวัติศาสตร์และซับซ้อนทางเทคนิค ต้องใช้ทั้งความอดทน ความยืดหยุ่น และวิสัยทัศน์ทางการเมืองระยะยาวจากผู้นำทั้งสองประเทศ
บทสรุป:
ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นมรดกแห่งประวัติศาสตร์ที่ท้าทายความสัมพันธ์ในปัจจุบัน พื้นที่พิพาทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเขาพระวิหาร ช่องบก ปราสาทตาเมือน เกาะกูด และพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ล้วนสะท้อนความซับซ้อนของการปักปันเขตแดนในยุคอาณานิคมและการตีความที่แตกต่างกัน แม้ความขัดแย้งในอดีตจะทิ้งบาดแผลลึก แต่เหตุการณ์รุนแรงอย่างที่ช่องบกก็สอนบทเรียนอันมีค่า: สันติภาพและความมั่นคงของประชาชนทั้งสองฟากฝั่งชายแดนต้องมาก่อน บทเรียนจากอดีตชี้ให้เห็นว่าแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แห่งความขัดแย้งนี้ คือการยึดมั่นในหนทางการเจรจาอย่างสันติ สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และแสวงหาผลประโยชน์ร่วมภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ ความร่วมมือบนพื้นฐานของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี คือบันไดขั้นสำคัญสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน และสร้างความมั่นคงร่วมกันให้แก่ประชาชนทั้งสองชาติสืบไป
โดย สุริยพงศ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี