1. ความสำคัญของการสร้างความสัมพันธ์
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา สถานการณ์ระหว่างไทย กัมพูชา ได้ทวีความตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การปิดพรมแดนที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่การปิดกั้นเส้นทางการค้าหรือการสัญจรของประชาชนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันและการปฏิบัติหน้าที่ของทุกคน
ชายแดนนั้นไม่ใช่เป็นเพียงเส้นแบ่งเขตประเทศ แต่คือพื้นที่ของชีวิต ความสัมพันธ์ และประวัติศาสตร์ร่วม ดังนั้นทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ชายแดนจึงต้องไม่มองพื้นที่นี้แค่เพียงเป็นจุดตรวจหรือเขตเฝ้าระวัง แต่เป็นพื้นที่ซึ่งต้องร่วมกันสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชาวบ้านทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา เป็นเครื่องมือ “รบโดยไม่ต้องรบ” ที่ทรงพลัง โดยเฉพาะในยุคที่สงครามไม่ใช่แค่การใช้อาวุธ แต่คือการแข่งกันสร้างอิทธิพลและความไว้วางใจ
2. ความสัมพันธ์กับชุมชนชาวไทย: จากผู้พิทักษ์สู่ลูกหลานของชาวบ้าน
• ทหารตำรวจ และเจ้าหน้าที่ชายแดนต้องทำหน้าที่ไม่ใช่แค่รักษาพรมแดน แต่ต้องเป็น “ลูกหลานของชุมชน”
• ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เยี่ยมบ้าน แวะพูดคุยในตลาด ช่วยงานวัด งานโรงเรียน
• รับฟังปัญหาอย่างจริงใจ โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคง ปัญหาช่องทางธรรมชาติ ยาเสพติด ค้ามนุษย์
• ใช้กำลังพลเป็นครูอาสา สอนหนังสือ สอนกีฬา จัดกิจกรรมลูกเสือ ช่วยเด็กและเยาวชน
• สร้างเครือข่ายชาวบ้านเป็น “หูตา” ให้กับหน่วยงานความมั่นคง ผ่านระบบอาสาสมัครหรือชุด “ชาวบ้านชายแดนเข้มแข็ง”
• พัฒนาโครงการเล็ก ๆ ที่ตอบโจทย์ชีวิต เช่น บ่อบาดาล พลังงานแสงอาทิตย์ โรงครัวชุมชน
ซ่อมแซมเส้นทางคมนาคม สร้างสะพาน หรือปรับปรุงแหล่งน้ำร่วมกับชาวบ้าน
อาจตั้งกลุ่มไลน์ หรือกลุ่มวิทยุสื่อสาร เพื่อติดต่อสื่อสารและประสานสัมพันธ์กับผู้นำชุมชน
3. ความสัมพันธ์กับชาวกัมพูชา: เปลี่ยนความหวาดระแวง สู่มิตรภาพ
แบ่งปันสิ่งของขาดแคลน เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ยารักษาโรค
• ยอมรับความจริงว่าชาวกัมพูชาหลายคนพึ่งพิงตลาด–แรงงาน–สินค้าไทย ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ ไทยจึงควรแสดงออกถึงความเป็นมิตร ไม่ใช่ฝ่ายปราบปรามเสมอไป
• ใช้ล่ามท้องถิ่นที่ไว้ใจได้ช่วยสื่อสารกับชาวบ้านกัมพูชา ลดการเข้าใจผิดจากภาษาและวัฒนธรรม
• สร้างเวที “ตลาดมิตรภาพ” ร่วมกับฝ่ายกัมพูชา เช่น ตลาดนัดชายแดน ประเพณีร่วม วัฒนธรรมร่วม เช่น แห่เทียนเข้าพรรษาร่วมกัน
• จัดโครงการเยาวชนข้ามแดน เช่น ลูกเสือสองแผ่นดิน กีฬาเชื่อมสัมพันธ์ วิ่งข้ามแดน
• ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ทหาร–ตำรวจเขมรระดับท้องถิ่น แลกเปลี่ยนข่าวสารและประสานเวลาเกิดเหตุ
• ห้ามแสดงท่าทีข่มขู่ ดูหมิ่น หรือพูดจาเชิงเหยียดเชื้อชาติ เพราะจะทำลายความสัมพันธ์ระยะยาว
4. ข้อห้ามที่ต้องระวัง
ห้ามใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงชาวบ้าน
ห้ามแสดงความเกลียดชังหรือดูถูกประเทศกัมพูชา
ห้ามยุยงปลุกปั่นให้คนสองชาติทะเลาะกัน
ห้ามแสดงท่าทางหรือคำพูดที่เหยียดหยามเชื้อชาติ หรือดูหมิ่นประเพณีวัฒนธรรมของชุมชน
• ห้ามเข้าไปในดินแดนพิพาท หรือเขตต้องห้ามโดยพลการ แม้เพียงไม่กี่เมตร เพราะอาจถูกใช้เป็นข้ออ้างทางการเมือง
• ห้ามพูดเรื่องประวัติศาสตร์ที่ล่อแหลมหรือบิดเบือน เช่น “ดินแดนนี้เคยเป็นของไทย” หรือ “เขมรไม่มีวัฒนธรรมของตัวเอง”
• ห้ามแจกของ หรือทำกิจกรรมโดยไม่แจ้งหน่วยงานฝ่ายปกครองหรือทหาร–ตำรวจของกัมพูชา เพราะจะถูกมองว่าล้ำเส้น
• ห้ามโพสต์ภาพ/คลิปกิจกรรมกับชาวกัมพูชาโดยไม่ขออนุญาตหรืออธิบาย เพราะอาจถูกใช้ในเชิงการเมือง
• ห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจผิดกฎหมายของชาวบ้าน หรือร่วมมือกับผู้มีอิทธิพลข้ามแดน
ห้ามรับสินบน เพื่อให้กระทำหรือละเว้นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
ห้ามพูดคำว่า “นครวัดเคยเป็นของไทย” หรือ “ไทยเคยยึดครองกัมพูชา” หรือ “จะยึด พระตะบอง เสียมราฐกลับมาเป็นของไทย”
ห้ามร่วมมือกับผู้ทำผิดกฎหมาย เช่น พวกคอลเซนเตอร การพนันออนไลน์ ขนของหนีภาษี ขนคนข้ามแดน
5. ข้อปฏิบัติที่ควรยึดถือ
• ปฏิบัติตามระเบียบของบันทึกความเข้าใจ เอ็มโอยู 43 (MOU 43) ข้อ5 อย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เป็นช่องให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตี คือ “งดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน” เช่นการแสดงสัญลักษณ์ ความเป็นเจ้าของ เข่น ร้องเพลงชาติ ผูกผ้าสีธงชาติ หรือตะโกนไล่ทหารให้ออกไปจากบริเวณ พื้นที่พิพาท
• พูดด้วยท่าทีสุภาพ รักษาภาพลักษณ์ของทหาร–ตำรวจไทยที่มีวินัย ใจดี แต่ไม่อ่อนแอ
• ใช้หลัก “3 ฟ” คือ “ฟัง – เฝ้า – เฟ้นสร้างสัมพันธ์” คือฟังความเห็นชาวบ้าน เฝ้าระวังเหตุผิดปกติอย่างไม่ให้ชาวบ้านรู้สึกถูกรังแก เฟ้นหาผู้นำท้องถิ่นที่เป็นมิตรเพื่อทำงานร่วม
• ฝึกพูดคำทักทายพื้นฐานภาษาท้องถิ่นอีสาน หรือภาษากัมพูชา เช่น “ซัวซะไดย์” (สวัสดี) “อ๊กกุน” (ขอบคุณ) เพื่อสร้างความเป็นกันเอง
• สวมเครื่องแบบให้เรียบร้อย ไม่แสดงอาวุธเกินความจำเป็น โดยเฉพาะเมื่อลงพื้นที่ชุมชน
6. ผลที่จะได้รับ: พลังน้ำใจไมตรีที่มากกว่าอาวุธ
• ชาวบ้านจะเชื่อมั่นในทหาร–ตำรวจ เห็นเป็นฝ่ายคุ้มครอง ไม่ใช่เจ้านายหรือผู้บังคับบัญชา
• ลดช่องทางของขบวนการลักลอบ ยาเสพติด และกลุ่มผิดกฎหมาย เพราะชาวบ้านไม่ยอมให้พื้นที่ใช้เป็นทางผ่าน
• ลดความเข้าใจผิดและความเกลียดชังระหว่างสองชาติ
• เสริมสร้างความมั่นคงเชิงมนุษยสัมพันธ์ (Human Security) ที่ยั่งยืนกว่าเพียงการตั้งด่านหรือถือปืน
• เปลี่ยนแนวชายแดนที่อ่อนไหว เป็นแนวร่วมของสันติภาพ
• เมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤต เช่น ความขัดแย้ง กองกำลัง ชาวบ้านที่เคยไว้ใจจะช่วยเจรจา หรือยับยั้งไม่ให้ความรุนแรงบานปลาย
สรุป ชายแดนไทย–กัมพูชาไม่ใช่ “ด่านหน้าแห่งความขัดแย้ง” แต่สามารถเป็น “สะพานแห่งมิตรภาพ” ได้ หากผู้ที่ถืออาวุธคือผู้ที่เข้าใจหัวใจของชาวบ้าน การสร้างความสัมพันธ์จึงไม่ใช่ภารกิจเสริม แต่คือภารกิจหลักของทหาร–ตำรวจชายแดนยุคใหม่ ที่รู้เขา รู้เรา และรู้ใจประชาชน
โดย สุริยพงศ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี