เมื่อสัปดาห์ก่อนมีผู้ถามผู้เขียนเรื่องไข้ในเด็กเมื่อเวลาป่วยแล้ว ที่ลิ้นมีตุ่มขึ้นและถ้าไม่ดูแลให้ดีจะกลายเป็นโรคหัวใจ คำถามคือโรคนี้มีจริงไหม และร้ายแรงมากหรือเปล่า เพราะมีลูกหลานยังเด็กเล็กก็จึงเป็นห่วง วันนี้เลยขอนำเสนอไข้อีดำอีแดงให้ทราบ
โรคที่ว่านี้มีอยู่จริง มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ไข้อีดำอีแดง หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Scarlet fever พบในเด็กอายุ 5-15 ปี ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชื่อ สเตรปโตค็อกคัส ไพโอจีนัส (Streptococcus pyogenes) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า สเตรปโตค็อกคัส กรุ๊ปเอ เป็นแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคได้หลายชนิด ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ และเมื่อติดเชื้อนี้ก็ก่อโรคได้หลากหลาย
การติดเชื้อชนิดนี้พบบ่อยในเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กวัยเรียน (อายุ 5-15 ปี) โรคที่พบบ่อย ได้แก่ คออักเสบ จะมีอาการเจ็บคอ กลืนลำบาก มีไข้สูง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ต่อมทอนซิลบวมแดง อาจมีจุดหนองสีขาวหรือฝ้าขาวที่ต่อมทอนซิล ต่อมน้ำเหลืองที่คอบวมและเจ็บ มักไม่มีอาการไอ แต่หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ตัวอย่างเช่น ไข้อีดำอีแดง เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสร้างสารพิษที่ทำให้เกิดผื่นแดงทั่วร่างกาย มักเริ่มที่คอ หน้าอก และกระจายไปทั่วตัว ที่ลิ้นมีลักษณะเป็นปุ่มแดงคล้ายสตรอว์เบอร์รี่ ผิวอาจลอกเป็นขุยหลังจากผื่นหายไป
อีกโรคหนึ่งได้แก่ ไข้รูมาติกซึ่งไม่ได้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียโดยตรง แต่เกิดจาก ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาต่อสู้กับเชื้อ แต่ภูมิต้านทานเหล่านี้กลับไปทำลายเนื้อเยื่อปกติของตัวเองในร่างกายด้วย เช่น หัวใจ ข้อต่อ สมอง และผิวหนัง มักปรากฏขึ้นประมาณ 2-4 สัปดาห์ หลังจากมีอาการคออักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียดังกล่าว
การติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้จะร้ายแรงมากแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่า เมื่อเกิดความเจ็บป่วยจากการติดเชื้อเริ่มแรกได้รับการรักษาที่เหมาะสม และทันเวลาหรือไม่ ซึ่งอันที่จริงถ้าเริ่มเป็น ก็รักษาได้ไม่อยาก ยาที่ใช้สำหรับการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้คือ ยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนนิซิลิน หรือใช้กลุ่มอื่นถ้าผู้ป่วยแพ้ยากลุ่มเพนนิซิลิน แต่ที่สำคัญคือ การใช้ยาปฏิชีวนะต้องมีระยะเวลานานพอ โดยทั่วไปต้องรับประทานยาปฏิชีวนะติดต่อกันนาน 10 วัน ซึ่งถ้าเริ่มมีอาการแล้วรีบพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยได้ถูกต้อง และรับประทานยาปฏิชีวนะนานเพียงพอ ร่วมกับใช้ยาต่าง ๆ ตามอาการ ก็น่าจะมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนหรืออันตรายร้ายแรงตามมา
การป้องกันการติดเชื้อก็มีความสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กวัยเรียน เนื่องจากเชื้อสามารถแพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย การรักษาอนามัยส่วนบุคคลที่ดี จึงเป็นด่านแรกของการป้องกัน ต้องสอนเด็ก ๆ ให้ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดอย่างถูกวิธีอยู่เสมอ โดยเฉพาะหลังไอ จาม ก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ
นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้แก้วน้ำ ช้อนส้อม ผ้าเช็ดหน้า หรือสิ่งของส่วนตัวอื่น ๆ ร่วมกับผู้อื่น และเมื่อไอหรือจาม ควรใช้ทิชชูหรือข้อศอกด้านในปิดปากและจมูก จากนั้นทิ้งทิชชูลงถังขยะทันที แล้วล้างมือให้สะอาด
นอกจากสุขอนามัยส่วนบุคคลแล้ว การหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะการอยู่ในบริเวณที่มีคนจำนวนมาก อากาศถ่ายเทไม่สะดวก จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มาก
การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้พร้อมต่อสู้กับเชื้อโรค และเมื่อเจ็บป่วย ต้องรักษารับประทานยาอย่างถูกต้อง จะได้ไม่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนจนรักษาได้ยาก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี