LIFE & HEALTH : ภาวะขาดน้ำและเกลือแร่จากอาการท้องเสียและอาเจียนในผู้สูงอายุ ปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม

LIFE & HEALTH : ภาวะขาดน้ำและเกลือแร่จากอาการท้องเสียและอาเจียนในผู้สูงอายุ ปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม

วันพุธ ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด แต่ในขณะที่เราฉลองความยืนยาวของชีวิต กลับมีปัญหาหลายด้านที่ซ่อนอยู่และมักถูกมองข้าม ทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน และนโยบายสาธารณะ

ภาวะขาดน้ำและเกลือแร่เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการท้องเสียและ/หรืออาเจียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญหลายระบบ รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ภาวะเพ้อ หกล้มและกระดูกหัก การบาดเจ็บของไต และการเข้ารักษาในโรงพยาบาลและอัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้น การประเมินภาวะขาดน้ำอย่างเหมาะสมและการเลือกแนวทางการดูแลรักษาที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในประชากรสูงวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและมีความเปราะบางต่อภาวะดังกล่าว


 

ความชุกและผลกระทบของภาวะขาดน้ำในผู้สูงอายุ

ข้อมูลจาก ดร. ภญ.กัลยาณี โตนุ่ม ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า แม้ว่าภาวะขาดน้ำจะเป็นภาวะที่พบได้ทั่วไป แต่กลับถูกประเมินต่ำกว่าความเป็นจริง โดยเฉพาะในประชากรผู้สูงอายุที่พักอาศัยในสถานดูแลหรือโรงพยาบาล ซึ่งมีอัตราการเกิดภาวะนี้สูงถึงร้อยละ 17–28 ผลกระทบที่ตามมามีตั้งแต่ความผิดปกติเล็กน้อย เช่น ความเหนื่อยล้า ความสับสน ไปจนถึงภาวะรุนแรง เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลัน และการเข้ารักษาในโรงพยาบาลและอัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้น

กลไกทางสรีรวิทยาที่เกี่ยวข้องกับภาวะขาดน้ำในผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาหลายประการที่เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ ได้แก่

  • ความรู้สึกกระหายน้ำลดลง กลไกควบคุมความกระหายน้ำที่สมองตอบสนองต่อการกระตุ้นได้น้อยลง
  • การทำงานของไตลดลง ไตมีความสามารถในการขับของเสียและการทำให้ปัสสาวะเข้มข้นลดลง ส่งผลให้สูญเสียน้ำมากขึ้น
  • ปริมาณน้ำในร่างกายลดลง เนื่องจากมวลกล้ามเนื้อน้อยลงและมีไขมันเพิ่มขึ้น ทำให้ความสามารถในการรักษาสมดุลน้ำลดลง (เนื้อเยื่อไขมันมีน้ำประมาณ 11% ขณะที่เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อมีน้ำประมาณ 75%)
  • ความบกพร่องทางความคิด เช่น ภาวะสมองเสื่อม หรือภาวะเพ้อ อาจทำให้ลืมดื่มน้ำหรือสื่อสารความต้องการไม่ได้
  • การใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน ซึ่งมักพบในผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวหลายโรค และยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาระบาย หรือยาลดความดันบางกลุ่ม อาจเพิ่มการสูญเสียน้ำและเกลือแร่

 

การประเมินภาวะขาดน้ำในผู้สูงอายุ

การประเมินภาวะขาดน้ำในผู้สูงอายุทำได้ยากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากลักษณะผิวหนังเปลี่ยนแปลงตามวัย เช่น ผิวแห้งหรือหย่อนคล้อย แม้ไม่มีการสูญเสียน้ำจริง โดยพบว่าชั้นผิว epidermal จะบางลง 10-50% ในช่วงอายุ 30-80 ปี ซึ่งส่งผลต่อการช่วยกักเก็บน้ำในชั้นผิวได้ลดลง

แนวทางการดูแลรักษา

การให้สารน้ำทางปาก (oral rehydration therapy, ORT) เป็นแนวทางหลักในการรักษาภาวะขาดน้ำระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยควรเลือก ORS (oral rehydration solution) ตามสูตรมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ที่มีความสมดุลของโซเดียมและกลูโคสเหมาะสม  (Na⁺ 75 mmol/L, glucose 75 mmol/L, osmolarity ประมาณ 245 mOsm/L) หรือเกลือแร่ชนิดที่ระบุว่าใช้สำหรับรักษาอาการท้องเสียเพื่อให้ดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ดึงน้ำกลับเข้าสู่ลำไส้ (การดูดซึมของโซเดียมและกลูโคสจะผ่าน SGLT1 transporter ที่ลำไส้เล็ก) แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถรับสารน้ำทางปากได้ เช่น มีอาการอาเจียนรุนแรง ซึม หรือมีภาวะช็อก ควรรีบส่งต่อโรงพยาบาลเพื่อรับสารน้ำทางหลอดเลือด (intravenous fluids) อย่างเร่งด่วน

ดังนั้นการตระหนักในเรื่องของภาวะขาดน้ำจากอาการท้องเสียหรืออาเจียน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เป็นปัญหาสำคัญที่ไม่ควรละเลย เนื่องจากอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง การเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายหรือทางสรีรวิทยาของผู้สูงอายุ รวมถึงการประเมินอาการ และการเลือกใช้เกลือแร่ที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง สำหรับผู้สนใจข้อมูลสุขภาพและการใช้ยาของคณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล สามารถติดตามได้ที่ https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/service-knowledge.php

 

ร่วมบริจาคโลหิตต่อเนื่องทุก 3 เดือน เพื่อช่วยบรรเทาวิกฤติเลือดขาดแคลน

ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ขอเชิญชวนผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ร่วมบริจาคโลหิตได้ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ หน่วยรับบริจาคโลหิตใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลที่ให้บริการรับบริจาคโลหิตทั่วประเทศ โดยสามารถบริจาคซ้ำได้ทุก 3 เดือน ซึ่งการบริจาคโลหิตเพียงครั้งเดียว สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้มากถึง 3 คน และยังถือเป็นการดูแลสุขภาพของผู้บริจาคไปในตัวอีกด้วย

นอกจากนี้ หมู่โลหิตมีความสำคัญในการให้โลหิตแก่ผู้ป่วย การตรวจหาชนิดหมู่โลหิตของตนเองจึงทำให้เกิดประโยชน์ในด้านการช่วยชีวิตผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยซึ่งเป็นโรคที่ต้องได้รับโลหิตเป็นประจำ ควรตรวจหาชนิดของหมู่โลหิตไว้ล่วงหน้า เพื่อจะได้รับโลหิตที่มีหมู่โลหิตตรงกับตนเองให้มากที่สุด เป็นการป้องกันการหาโลหิตที่เข้ากันได้ยากและสามารถช่วยชีวิตได้อย่างทันท่วงที

ร่วมบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่องได้ทุกๆ 3 เดือน เพียงแค่คุณมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง มีอายุ 17 ปีบริบูรณ์ – 70 ปี  น้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป รู้สึกสบายดี สุขภาพแข็งแรงพร้อมบริจาคโลหิต ข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://thaibloodcentre.redcross.or.th/ หรือ ฝ่ายจัดหาผู้บริจาคโลหิตและสื่อสารองค์กร ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โทรศัพท์ 0 2256 4300, 0 2263 9600-99 ต่อ 1760, 1761 

ผศ.(พิเศษ) ดร.เภสัชกร อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top