หลอดเลือดหัวใจตีบ ภัยเงียบที่ไม่เลือกวัย การป้องกันสำคัญที่สุด

หลอดเลือดหัวใจตีบ ภัยเงียบที่ไม่เลือกวัย การป้องกันสำคัญที่สุด

วันพุธ ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนทั่วโลก และหนึ่งในโรคที่พบบ่อยที่สุดคือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease) ซึ่งหลายคนอาจจะยังเข้าใจผิดว่าโรคนี้เป็นปัญหาของผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว โรคหลอดเลือดหัวใจตีบสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย แม้อายุไม่ถึง 40 ปี ก็อาจมีความเสี่ยงได้เช่นกัน

แพทย์หญิงทรายด้า บูรณสิน อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลเวชธานีอินเตอร์เนชั่นแนล

 


แพทย์หญิงทรายด้า บูรณสิน อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลเวชธานีอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease) เกิดจากการที่ผนังหลอดเลือดหัวใจมีการสะสมของคราบไขมัน (Plaque) ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ จนทำให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอกโดยเฉพาะเวลาออกแรงหรือเครียด ปวดร้าวไปที่ไหล่ แขนซ้าย คอ หรือกราม หายใจลำบาก หอบง่าย เหนื่อยผิดปกติ หรือในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันได้

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่พฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป การนั่งทำงานนาน ๆ ความเครียด การรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด และการออกกำลังกายน้อย ต่างเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดโรคนี้เร็วขึ้น แม้ในคนอายุยังไม่ถึง 40 ปีก็สามารถมีความเสี่ยงได้เช่นเดียวกัน

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเกิดจากกระบวนการที่ซับซ้อน แต่มีปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้น ได้แก่ คอเลสเตอรอลและไขมันในเลือดสูง: ไขมันเลว (LDL) สามารถไปสะสมที่ผนังหลอดเลือด, ความดันโลหิตสูง: ทำให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมและตีบเร็วขึ้น, เบาหวาน: ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า, การสูบบุหรี่: สารพิษในบุหรี่ทำลายผนังหลอดเลือดและทำให้เกล็ดเลือดจับตัวง่าย, ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ: ส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของหัวใจ, กรรมพันธุ์: หากในครอบครัวมีประวัติโรคหัวใจ ย่อมเพิ่มความเสี่ยง

การตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการซักประวัติหาความเสี่ยงของโรค การตรวจสุขภาพประจำปี แต่สำหรับผู้ป่วยที่ไปพบแพทย์ด้วยอาการแน่นหน้าอกเหนื่อยง่าย ใจสั่น หรือหน้ามืด แพทย์จะใช้การอัลตราซาวนด์หัวใจ (Echocardiogram : ECHO) คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เอกซเรย์ปอด (Chest X-ray) และการเดินสายพาน (EST-Exercise Stress Test) บางกรณีอาจจำเป็นต้องตรวจหลอดเลือดหัวใจด้วยวิธีการทำ CT Scan (CTA Coronary Artery) เพื่อหาอาการผิดปกติประกอบการวินิจฉัยโรคร่วมด้วย

 

การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

สำหรับแนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่มีอาการเรื้อรังหรือคงที่ คือมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก เป็น ๆ หาย ๆ ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ แพทย์จะวางแผนการรักษาด้วยการใช้ยา แนะนำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ขยายหลอดเลือดด้วยการทำบอลลูน หรือผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค, กลุ่มที่มีอาการแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยมักจะมาด้วยอาการ เจ็บแน่นหน้าอกร่วมกับเหนื่อยหอบ หน้ามืด เป็นลม หมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น แพทย์จะรักษาด้วยการทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจทันที

การป้องกันสำคัญที่สุด

แม้การแพทย์ในปัจจุบันจะก้าวหน้าเพียงใด แต่การป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบก็ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด ลดอาหารมัน เค็ม และหวาน การออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที พักผ่อนให้เพียงพอ และตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมาก

วันที่ 29 กันยายน ของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น วันหัวใจโลก (World Heart Day) เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนทั่วโลกหันมาใส่ใจสุขภาพหัวใจมากขึ้น ปีนี้จึงเป็นโอกาสดีที่เราทุกคนจะเริ่มต้นสำรวจพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตัวเอง และหันมาดูแลหัวใจตั้งแต่วันนี้ เพราะโรคหลอดเลือดหัวใจตีบไม่ใช่โรคที่เลือกอายุ มันอาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ไม่ว่าจะหนุ่มสาวหรือผู้สูงวัย

การดูแลหัวใจไม่ใช่เพียงเพื่อป้องกันโรค แต่ยังเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยืนยาว แข็งแรง และเต็มไปด้วยพลังที่จะใช้ชีวิตกับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุข

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top