โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนทั่วโลก และหนึ่งในโรคที่พบบ่อยที่สุดคือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease) ซึ่งหลายคนอาจจะยังเข้าใจผิดว่าโรคนี้เป็นปัญหาของผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว โรคหลอดเลือดหัวใจตีบสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย แม้อายุไม่ถึง 40 ปี ก็อาจมีความเสี่ยงได้เช่นกัน
แพทย์หญิงทรายด้า บรูณสิน อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลเวชธานีอินเตอร์เนชั่นแนล
แพทย์หญิงทรายด้า บรูณสิน อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลเวชธานีอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease) เกิดจากการที่ผนังหลอดเลือดหัวใจมีการสะสมของคราบไขมัน (Plaque) ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ จนทำให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอกโดยเฉพาะเวลาออกแรงหรือเครียด ปวดร้าวไปที่ไหล่ แขนซ้าย คอ หรือกราม หายใจลำบาก หอบง่าย เหนื่อยผิดปกติ หรือในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันได้
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่พฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป การนั่งทำงานนาน ๆ ความเครียด การรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด และการออกกำลังกายน้อย ต่างเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดโรคนี้เร็วขึ้น แม้ในคนอายุยังไม่ถึง 40 ปีก็สามารถมีความเสี่ยงได้เช่นเดียวกัน
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเกิดจากกระบวนการที่ซับซ้อน แต่มีปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้น ได้แก่คอเลสเตอรอลและไขมันในเลือดสูง: ไขมันเลว (LDL) สามารถไปสะสมที่ผนังหลอดเลือด / ความดันโลหิตสูง: ทำให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมและตีบเร็วขึ้น / เบาหวาน: ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า / การสูบบุหรี่: สารพิษในบุหรี่ทำลายผนังหลอดเลือดและทำให้เกล็ดเลือดจับตัวง่าย / ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ: ส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของหัวใจ / กรรมพันธุ์: หากในครอบครัวมีประวัติโรคหัวใจ ย่อมเพิ่มความเสี่ยง
การตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการซักประวัติหาความเสี่ยงของโรค การตรวจสุขภาพประจำปี แต่สำหรับผู้ป่วยที่ไปพบแพทย์ด้วยอาการแน่นหน้าอกเหนื่อยง่าย ใจสั่น หรือหน้ามืด แพทย์จะใช้การอัลตราซาวนด์หัวใจ (Echocardiogram : ECHO) คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เอกซเรย์ปอด (Chest X-ray) และการเดินสายพาน (EST-Exercise Stress Test) บางกรณีอาจจำเป็นต้องตรวจหลอดเลือดหัวใจด้วยวิธีการทำ CT Scan (CTA Coronary Artery) เพื่อหาอาการผิดปกติประกอบการวินิจฉัยโรคร่วมด้วย
การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
สำหรับแนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่มีอาการเรื้อรังหรือคงที่ คือมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก เป็นๆ หาย ๆ ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ แพทย์จะวางแผนการรักษาด้วยการใช้ยา แนะนำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ขยายหลอดเลือดด้วยการทำบอลลูน หรือผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค, กลุ่มที่มีอาการแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยมักจะมาด้วยอาการ เจ็บแน่นหน้าอกร่วมกับเหนื่อยหอบ หน้ามืด เป็นลม หมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น แพทย์จะรักษาด้วยการทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจทันที
การป้องกันสำคัญที่สุด
แม้การแพทย์ในปัจจุบันจะก้าวหน้าเพียงใด แต่การป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบก็ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด ลดอาหารมัน เค็ม และหวาน การออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที พักผ่อนให้เพียงพอ และตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมาก
เริ่มต้นสำรวจพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตัวเอง และหันมาดูแลหัวใจตั้งแต่วันนี้ เพราะโรคหลอดเลือดหัวใจตีบไม่ใช่โรคที่เลือกอายุ มันอาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ไม่ว่าจะหนุ่มสาวหรือผู้สูงวัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี