บทความพิเศษ : ‘รู้จักเรารู้จักจีน’ ทำไมคนไทยจึงควรรู้เรื่องของจีน

บทความพิเศษ : ‘รู้จักเรารู้จักจีน’ ทำไมคนไทยจึงควรรู้เรื่องของจีน

วันอังคาร ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 16.12 น.

ในโลกปัจจุบัน การเข้าใจประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างไทยกับจีน   ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของนักวิชาการ แต่เป็นความรู้ที่คนไทยทุกคนควรมี เพราะเกี่ยวข้องสำคัญกับการดำรงชีวิต และการพัฒนา  ตลอดจนเรื่องราวของคนไทยเชื้อสายจีนที่มีบทบาทในด้านเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศไทย

รากฐานแห่งอารยธรรม: จากจีนสู่แผ่นดินไทย


ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณก่อนประวัติศาสตร์และก่อนการก่อตั้งประเทศไทย   เมื่อชนชาติต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมจีน การค้าขายและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมได้เริ่มขึ้นแล้ว  ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น ( พ.ศ.337-763)  อาณาจักรฟูนาน (พุทธศตวรรษที่ 6-11)      

ชนเผ่าจ้วง   ไป่เย่ว  ไทเหนือ ไทขาว   ในมลฑลยูนนาน และกวางสีที่มีวัฒนธรรมและพูดภาษาใกล้เคียงกับภาษาไทย เป็นประจักษ์พยานของความเกี่ยวพันระหว่างจีนกับไทยตั้งแต่สมัยโบราณ

อาณาจักรฟูนาน(พุทธศตวรรษที่ 6-11)  เป็นหนึ่งในอาณาจักรแรกๆ ในอินโดจีนได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 8 อาณาจักรฟูนานนี้ ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงไปจนถึงคาบสมุทรมลายู ได้รับอิทธิพลทางการค้าและเทคโนโลยีจากจีนอย่างมาก  ต่อมา อาณาจักรเจนละ (พุทธศตวรรษที่ 11-19) และ อาณาจักรทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-12) ซึ่งเป็นศูนย์กลางอารยธรรมในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ได้รับเทคโนโลยีการเกษตร ระบบชลประทาน และงานหัตถกรรมจากจีน  

พ.ศ. 1172-1188   พระถังซำจัง (Xuanzang) เดินทางทางบก ตามเส้นทางสายไหม จากเมืองฉางอัน(ซีอาน) ประเทศจีนไปยังอินเดีย ท่านได้บันทึกถึงดินแดนชื่อ โถ-โล-โป-ตี้  (T'o-lo-po-ti) ที่อยู่ระหว่างพม่า (ชิลิฉาตาหลอ-ศรีเกษตร)   กับกัมพูชา(อิซางป่อหลอ- อิศานปุระ) 

สมัยสุโขทัย: จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ

สมัยที่อาณาจักรสุโขทัยสถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ.1792   ได้มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับราชวงศ์หยวนของจีน โดยมีการส่งเครื่องราชบรรณาการและการแลกเปลี่ยนทางการค้าอย่างต่อเนื่อง สุโขทัยได้รับเทคโนโลยีการผลิตเครื่องเคลือบดินเผา การทำงานโลหะ และวิธีการเกษตรบางอย่างจากจีน

สมัยอยุธยา: ยุคทองแห่งการค้าและวัฒนธรรม

อาณาจักรอยุธยา ( พ.ศ. 1893-2310 ) เป็นช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ไทย-จีนเจริญรุ่งเรือง กษัตริย์อยุธยาได้สถาปนาความสัมพันธ์กับจีน ทั้งราชวงศ์หมิง (พ.ศ. 1911- 2187)  และราชวงศ์ชิง (พ.ศ.  2187-2454)    พ.ศ. 1943-1936  สมัยราชวงศ์หมิง นายพลเจิ้งเหอ คุมกองเรือจีนจากเมืองกวางตุ้ง ไปอินเดียและแอฟริกา  และส่งเรือบางลำเข้ามาที่อยุธยา  แผนที่เดินเรือเจิ้งเหอเรียกสงขลาว่า ซุ่งกูหมา  และเรียกปัตตานีว่า หลงซีเจีย 

                      

ชาวจีนจากมณฑลฟูเจี้ยน และกวางตุ้ง อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอยุธยาจำนวนมาก พวกเขานำเทคโนโลยีการผลิต วิธีการค้าขาย และวัฒนธรรมการกินอยู่มาสู่ไทย ชุมชนจีนในอยุธยากลายเป็นกลุ่มพ่อค้าที่สำคัญ ควบคุมการค้าระหว่างประเทศและการขนส่งสินค้า    การค้าข้าวสารเป็นหัวใจสำคัญของความสัมพันธ์เศรษฐกิจ ข้าวไทยที่มีคุณภาพสูงได้รับความนิยมในตลาดจีนอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่จีนประสบภัยธรรมชาติหรือความไม่แน่นอนทางการเมือง

สำเภาจีนสมัยอยุธยา

ยุครัตนโกสินทร์: ความต่อเนื่องและการปรับตัว

เมื่อมีการสถาปนากรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงใหม่ รัชกาลที่ 1 ได้สืบทอดนโยบายความสัมพันธ์กับจีนต่อมา การส่งเครื่องราชบรรณาการยังคงดำเนินต่อไปจนถึงสมัยรัชกาลที่ 4     ชาวจีนฮกเกี้ยน แต้จิ๋ว และกวางตุ้งอพยพเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น พวกเขาไม่เพียงแต่เป็นพ่อค้า แต่ยังเป็นช่างฝีมือ เกษตรกร และผู้นำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา

ยูนนาน: เส้นทางการค้าและวัฒนธรรม

มณฑลยูนนานทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนมีความสำคัญต่อไทย เพราะเป็นเส้นทางการค้าและวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับจีนแผ่นดินใหญ่   ชนชาติไท-ไทในยูนนาน เช่น ไทใหญ่ ไทลื้อ และไทยวน มีความเชื่อมโยงทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมกับคนไทย การแลกเปลี่ยนภาษา ประเพณี และวิธีการครองชีวิตเกิดขึ้นผ่านเส้นทางนี้มาหลายศตวรรษ    ในอดีต มีเส้นทางการค้าโบราณที่เชื่อมต่อยูนนาน เมียนมาร์ และไทย เป็นเส้นทางสำคัญในการขนส่งเกลือ ชา ไหม และสินค้าอื่นๆ

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

ชาวจีนมีบทบาทสำคัญในการสร้างทางรถไฟสายต่างๆ ในประเทศไทย  ช่างฝีมือชาวจีนนำเทคโนโลยีการก่อสร้าง และการจัดการมาใช้ ผู้รับเหมาก่อสร้างชาวจีนมีบทบาทสำคัญในการก่อสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม ด้วยหินอ่อนอิตาลี กลางกรุงเทพ ชาวจีนเป็นแรงงานหลักในการขุดคลองสำคัญหลายสาย เช่น คลองภาษีเจริญ  และคลองต่างๆ ที่เชื่อมต่อระบบคมนาคมทางน้ำ

โรงงานอุตสาหกรรมยุคใหม่

นักลงทุนจีนในสมัยรัชกาลที่ 5-6 ได้สร้างโรงงานอุตสาหกรรมขึ้นมากมาย ทั้งโรงสีข้าว  โรงเลื่อย  โรงงานแป้งมันสำปะหลัง  โรงงานน้ำตาล   โรงงานผลิตรองเท้า และโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆ โรงงานเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความมั่งคั่ง แต่ยังถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสู่คนไทย

ความสัมพันธ์ในปัจจุบัน: จากอดีตสู่อนาคต

ในปัจจุบัน  ความสัมพันธ์ไทย-จีนได้กลับมาแน่นแฟ้นอีกครั้ง ไม่ใช่แค่ในแง่การค้าขาย แต่รวมถึงการลงทุน เทคโนโลยี การศึกษา และความร่วมมือในหลายด้าน

โครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง  Belt and Road Initiative”ของจีนได้เชื่อมโยงไทยเข้าสู่เครือข่ายการค้าและการพัฒนาที่กว้างขวาง เช่นโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน

ชาวไทยเชื้อสายจีนที่อยู่ในประเทศไทยกว่า 10 ล้านคน กลายเป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ พวกเขาไม่เพียงรักษาประเพณีจีน แต่ยังเป็นคนไทยที่มีส่วนร่วมสร้างสรรค์ประเทศอีกด้วย

การเรียนรู้ภาษาจีนในไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การแลกเปลี่ยนนักเรียนนักศึกษา และความร่วมมือทางวิชาการช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น    มีนักศึกษาจีนเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยนานาชาติในประเทศไทย  จำนวนมาก 

การเข้าใจประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ไทย-จีนไม่ใช่เรื่องของความหลังหรืออดีตเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำความเข้าใจปัจจุบันและเตรียมตัวเพื่ออนาคต   

ทางเศรษฐกิจ จีนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย การเข้าใจวัฒนธรรมทางธุรกิจ ประวัติศาสตร์การค้า และความต้องการของตลาดจีนจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น

ทางวัฒนธรรม วัฒนธรรมไทยปัจจุบันมีรากฐานจากการผสมผสานวัฒนธรรมหลายชาติพันธุ์ การเข้าใจอิธิพลจีนจะช่วยให้เราเห็นความหลากหลายและความสวยงามของเอกลักษณ์ไทย

ทางการเมือง ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ การเข้าใจประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์จะช่วยให้ไทยสามารถกำหนดท่าทีและนโยบายต่างประเทศได้อย่างเหมาะสม

ทางสังคม ในสังคมไทยที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ การเข้าใจและยอมรับรากฐานทางประวัติศาสตร์จะช่วยสร้างความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

บทสรุป

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนไม่ใช่แค่เรื่องราวในหนังสือประวัติศาสตร์ แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทยทุกคน ตั้งแต่อาหารการกิน ประเพณี ภาษา วัฒนธรรม ไปจนถึงเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ การที่คนไทยเข้าใจประวัติศาสตร์พันปีระหว่างจีนกับไทย จะช่วยให้เราเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างชาติไม่จำเป็นต้องเป็นการแข่งขันหรือการขัดแย้ง แต่สามารถเป็นการเรียนรู้ แลกเปลี่ยน และพัฒนาร่วมกันได้

โดย อาทร จันทวิมล

-(016)

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top