บทความพิเศษ : ‘รู้จักเรารู้จักจีน’ คนเชื้อสายจีนในเมืองไทย จากเสื่อผืนหมอนใบสู่เศรษฐีพันล้าน

บทความพิเศษ : ‘รู้จักเรารู้จักจีน’ คนเชื้อสายจีนในเมืองไทย จากเสื่อผืนหมอนใบสู่เศรษฐีพันล้าน

วันพฤหัสบดี ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

คนไทยในประเทศไทยนั้น ประกอบด้วยคนหลายชนชาติหลายวัฒนธรรม   หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งคือ “คนเชื้อสายจีน” ซึ่งมีรากเหง้ามาจากเมืองท่าต่าง ๆ ในจีนตอนใต้ เช่น แต้จิ๋ว กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน แคะ และไหหลำ โดยมีการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา      

ในปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรคนไทยเชื้อสายจีนประมาณ 9 ล้านคนส่วนมากจะเป็นเชื้อสายแต้จิ๋วประมาณร้อยละ 56 รองลงมา ได้แก่ แคะ(ฮากกา) ร้อยละ 16, ไหหลำ ร้อยละ 11, กวางตุ้ง ร้อยละ 7, ฮกเกี้ยน ร้อยละ 7, และอื่น ๆ ร้อยละ 12


ชาวไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว มีนิสัยรักพวกพ้อง   เจ้าระเบียบ ประณีต ละเอียดอ่อน  ไม่มักง่าย  เป็นกลุ่มคนไทยเชื้อสายจีนที่มีจำนวนมากที่สุด   อพยพมาจากพื้นที่ใกล้เมืองซัวเถา ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา   โดยพระเจ้าตากสินทรงมีเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว   อยู่กันมากที่กรุงเทพและเมืองใหญ่ทั่วประเทศไทย        เช่น  ตระกูล โสภณพนิช (ธนาคารกรุงเทพ)   สิริวัฒนภักดี (เบียรช้าง)  จึงรุ่งเรืองกิจ (ไทยซัมมิต)

ชาวไทยเชื้อสายจีนฮกเกี้ยน  เชี่ยวชาญการค้าขายต่างประเทศทางเรือ อยู่กันมากทางภาคใต้ โดยเฉพาะที่ภูเก็ต ระนอง ชุมชนฮกเกี้ยนในกรุงศรีอยุธยาอยู่ใกล้ป้อมเพชร ตรงข้ามวัดพนัญเชิง    ส่วนชุมชนชาวฮกเกี้ยนในกรุงเทพฯอยู่บริเวณตลาดน้อย ใกล้ศาลเจ้าโจวซือกง  เช่น ตระกูล  ณ ระนอง หลีกภัย   ทวีสิน  ซอโสตถิกุล (ซีคอน)  ภิรมย์ภักดี (เบียรสิงห์)  ศรีวัฒนประภา(คิงพาเวอร์)

คนไทยเชื้อสายจีนกวางตุ้ง (Cantonese)  มาจากบริเวณเมืองกวางโจว มีลักษณะนิสัยที่สรุปเป็นอักษรจีน 4 ตัว ว่า “乐天务实” หมายถึง “เบิกบาน ปฏิบัตินิยม” มุ่งเรื่องผลประโยชน์ หรือคุณโทษที่จะเกิดกับตนมาก มีความเบิกบานง่ายๆ ไม่ติดกรอบ ปรับตัวตามสถานการณ์เก่งและรวดเร็ว  มีไหวพริบดี... นิยมอาศัยอยู่ในกรุงเทพแถบถนนสาทร  บางรัก ตรอกซุง ตรอกไก่   จังหวัดตรัง  ภูเก็ต   นิยมเป็นช่างฝีมือ ผู้รับเหมาก่อสร้าง ช่างซ่อมนาฬิกา ค้าทองคำ เจ้าของภัตตาคาร ขายพวกขนมจีบ ติ่มซำ    หมูย่าง  เช่น ตระกูล  ชาญวีรกูล  โอสถานุเคราะห์   โชควัฒนา

คนไทยเชื้อสายจีนไหหลำ (Hainanese) มาจากเกาะไหหลำ  นิสัยขี้เล่น ฉลาด  เอาเรื่องเล่นมาเป็นงานได้  ตรงไปตรงมา ไม่ทะเยอทะยาน  รักเสรี สนุกสนาน ใจกล้า  เชื่อมั่นในคนเอง ชอบฉวยโอกาสเอาประโยชน์เฉพาะหน้า   ชอบโก้ รักหน้าตา  แต่งตัวดี วางตัวภูมิฐาน    ใจกว้างแต่ไม่ยอมเสียเปรียบใคร    อยู่กันมากที่เกาะสมุย  เกาะพะงัน สุราษฎร์ธานี  นครสวรรค์  พิจิตร  ลำปาง  ชำนาญทางร้านอาหาร และโรงงาน   จีนไหหลำในเมืองไทยชอบทำธุรกิจค้าไม้ โรงเลื่อย  ร้านอาหาร  โรงแรมเช่น ตระกูลจิราธิวัฒน์ (ห้างเซ็นทรัล)  อยู่วิทยา (กระทิงแดง)

คนไทยเชื้อสายจีนแคะ   หรือ ฮากกา (Hakka客家)  สืบเชื้อสายมาจากชาวฮั่นโบราณ   มีนิสัยเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว   ตรงไปตรงมา  ไม่ชอบพิธีรีตอง  ชอบทำการเกษตร ทำนา รับราชการ   มีนิสัย ประหยัดมัธยัสถ์ กล้าหาญ เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ใฝ่ศึกษาทั้งบุ๋นและบู๊ วัฒนธรรมเรียบง่าย หนักแน่น สมถะ  ชอบทำอาชีพหัตถกรรม เหมืองแร่   เช่น ตระกูลลีนุตพงษ์

คนไทยเชื้อสายจีนฮ่อ   ส่วนใหญ่มาจากยูนนาน  บางส่วนนับถืออิสลาม   เดินทางมาค้าขายทางบกด้วยม้าต่างจากยูนนานผ่านประเทศลาวและเมียนมาร์ ชาวจีนฮ่อส่วนหนึ่งคือกลุ่มทหารกองพล 93 ที่ลี้ภัยเข้ามาในประเทศไทยในพื้นที่ดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย และพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งแม้ในช่วงแรกจะถูกมองว่าเป็นชนกลุ่มน้อย แต่บุตรหลานของทหารกลุ่มนี้ก็ได้กลายเป็นพลเมืองไทยที่เข้มแข็ง  มีมากที่เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง  พะเยา  เช่น พวกสกุล  นิมมานเหมินทร์

ในสมัยสุโขทัย มีการค้าขายกับจีนผ่านเส้นทางบก ทะเลและแม่น้ำ  โดยคนจีนยูนนานและกวางสีผ่านแม่น้ำโขงและข้ามภูเขา     ทางทะเลผ่านเมืองท่าที่เชื่อมโยงกับจีนตอนใต้ เช่น เมืองฟูเจี้ยนและแต้จิ๋ว ซึ่งส่งสินค้าจีนมายังสุโขทัย เช่น ผ้าไหม เครื่องเคลือบดินเผา และสมุนไพร ในขณะเดียวกันก็มีคนจีนบางส่วนเดินทางทางเรือเข้ามาเป็นพ่อค้าและแรงงาน โดยตั้งถิ่นฐานในเมืองท่าภาคใต้  เช่น ภูเก็ตและสงขลา

เมื่อเข้าสู่สมัยอยุธยา การค้าระหว่างประเทศเฟื่องฟูอย่างมาก โดยเฉพาะในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีการตั้ง “โกษาธิบดี” เพื่อดูแลกิจการต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการค้ากับจีนด้วย     คนจีนจากแต้จิ๋วและฮกเกี้ยนเริ่มเข้ามาตั้งรกรากในอยุธยา โดยเฉพาะบริเวณ ประตูจีน  และคลองนายก่าย  ซึ่งเป็นย่านการค้าสำคัญกลางเมืองหลวง

สมัยกรุงธนบุรี   คนจีนมีบทบาทมากขึ้น   เพราะสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นคนไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว (ซัวเถา) จังหวัดแต้จิ๋ว มณฑลกวางตุ้ง โดยพระราชบิดา คือ นายไหฮอง โดยสารเรือสำเภาจากหมู่บ้านอูเอียตี้  ตำบลหัวฟู่ อำเภอเฉิงไห่ เข้ามายังประเทศไทยในช่วง สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย พ.ศ. 2277 มีภรรยาเป็นคนไทยชื่อนกเอี้ยง   ประกอบอาชีพค้าขายที่คลองสวนพลูและเป็นนายอากรบ่อนเบี้ยในกรุงศรีอยุธยา  พระเจ้าตากสินทรงใช้คนจีนหลายคนเป็นทหารในการกอบกู้ชาติไทย   เช่น พระยาราชาเศรษฐี (เฉิน เหลียน)  พระยาพิชัยไอศวรรย์ (หยาง จิ้นจง)  หลวงพิพิธ(ทหารจีนถือง้าว)  พ.ศ. 2324  สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงส่งทูตคือเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชและนายมหานุภาพ ไปเฝ้าพระเจ้ากรุงจีนที่ปักกิ่งผ่านกวางตุ้งโดยเรือสำเภา 11 ลำ  ที่บันทึกไว้ในจดหมายเหตุจีน

ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยเฉพาะในรัชกาลที่ 3 ถึงรัชกาลที่ 5 ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์ชิง ที่คนมองโกลครองอำนาจ    คนจีนจำนวนมากที่ไม่ชอบพวกมองโกล หลั่งไหลเข้ามายังกรุงเทพฯด้วยเรือใบสำเภาแล้วต่อมาเปลี่ยนเป็นเรือกลไฟ       ตั้งบ้านเรืองอยู่บริเวณที่ต่อมาใช้เป็นพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพฯ   โดยให้คนจีนที่อยู่แต่ก่อนย้ายไปที่สำเพ็ง

การถลุงเหล็กที่บ้านท่าซุง สมัย ร.2 มีชาวจีนมาตั้งโรงถลุงเหล็กที่บ้านท่าซุงและ เมืองสรรคบุรีใกล้บ้านสะแกกรังจ.อุทัยธานี (ริมแม่น้ำสะแกกรัง ใกล้วัดจันทาราม ท่าซุง และโรงเรียนวัดท่าซุง ) ต่อมาพบเหรียญ ซุ่นจื๊อทงเป่า  เงินพดด้วง  และตะกรันเหล็ก บริเวณดังกล่าว     ช่วงปลายรัชกาลที่ 3 แท่งเหล็ก เป็นสินค้าส่งออกของสยามที่มูลค่าอยู่ใน ลำดับที่ 9 ส่วนใหญ่ส่งไปจำหน่ายบริเวณหมู่เกาะมลายู กัมพูชาและญวน แต่ต่อมาได้เลิกกิจการ        บาทหลวงปาลเลอกัวซ์(Jean-Baptiste Pallegoix) สมัยรัชกาลที่ 4 ได้กล่าวถึง กิจการถลุงเหล็กของชาวจีนในหนังสือ“เล่าเรื่องกรุงสยาม” ตอนหนึ่งว่า “.. คนไทยเอาเรือไปบรรทุกแร่เหล็ก  แล้วนำเอาไปขายด้วยราคาถูกๆให้แก่โรงถลุงเหล็กของคนจีน ซึ่งทำงานกันทั้ง กลางวันกลางคืนมีคนงานตั้ง ๕๐๐ถึง ๖๐๐ คน หล่อเป็นแท่งหนา ๆ ส่งเข้ามาบางกอกทุกวัน... ขึ้นไปเหนือ ชัยนาท ๑๕ ลิเออจะถึงท่าซุงอันเป็นเมืองคนจีนล้วน ๆ ตั้งอยู่ปากน้ำซึ่งไหลมาจากทางทิศตะวันตก .... พวกจีนมีเตาหล่อราว ๑๒ เตา สำหรับหล่อเหล็กซึ่ง มีอยู่เป็นอันมากในแถบนั้น เหล็กหลอมที่ได้จากเตาเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะพอใช้ในราชอาณาจักรเท่านั้น ยังเหลือ ส่งเป็นสินค้าขาออกอันสำคัญได้อีกด้วย.... นอกจากตั้งโรงงานถลุงเหล็กแท่งเพื่อ ส่งออกแล้ว ชาวจีนในกรุงเทพฯ ยังได้ตั้งโรงงานตีและหล่อเหล็กเป็นเครื่องใช้เช่น กระทะ  ถัง  มีด จอบ เสียม เหล็กเเบน เหล็กคานกระทะ ตะปู และโซ่เหล็ก เป็นต้น”

พ.ศ. 2391 สมัยรัชกาลที่ 3   เกิดกลุ่มอั้งยี่ชาวจีน “ก๊กเว่งท่ง” ที่ฉะเชิงเทรา ค้าฝิ่นเถื่อนและปล้นสะดม สังหารเจ้าเมือง พระยาวิเศษฤาชัย   ต้องส่งทหารนำโดยเจ้าพระยาบดินทร์เดชา(สิงห์ สิงห์เสนี) ไปปราบ จับหัวหน้าอั้งยี่ไปประหารที่วัด  ทำให้มีคนเสียชีวิตราว 3,000 คน

ในยุครัชกาลที่ 5 คนจีนเริ่มกลมกลืนกับสังคมไทยมากขึ้น โดยมีการแต่งงานข้ามเชื้อชาติ และเริ่มใช้ภาษาไทยเป็นหลัก ลูกหลานคนจีนเริ่มเข้าสู่ระบบการศึกษาไทย และบางส่วนได้รับตำแหน่งราชการ เช่น ขุนนาง นักการเมือง และนักธุรกิจที่มีอิทธิพล มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในยุคต้นของการพัฒนาอุตสาหกรรม คนจีนจากกวางตุ้ง และไหหลำเริ่มมีบทบาทในกิจกรรมเศรษฐกิจที่หลากหลาย เช่น  โรงสี   โรงเลื่อย   โรงงานน้ำตาล   และธุรกิจการพนัน รวมถึงหวย กข และการค้าฝิ่น  ชาวจีนเป็นผู้รับจ้างขุดคลองภาษีเจริญ  และกรรมกรก่อสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคมโดยใช้หินอ่อนจากเมืองคาราร่าของอิตาลี

พ.ศ.2432 สมัยรัชกาลที่ 5  ขณะนั้นธุรกิจการค้าข้าวไปต่างประเทศเฟื่องฟู มีการนำชาวจีนมาเป็นกรรมกรแบกกระสอบข้าวสารลงเรือจำนวนมาก  พวกแต้จิ๋วจากเมืองซัวเถารวมกลุ่มชื่อ “ตั้งกงสี”  พวกฮกเกี้ยนจากเมืองเอ้หมึง รวมกลุ่มชื่อ “ซิวลี่กือ” เกิดทะเลาะยกพวกตีกันกว่าพันคน ที่หลังโรงสีปล่องเหลี่ยมหลังห้างวินเซอร์  ต้องใช้ทหารบกขึ้นรถรางและทหารเรือลงเรือไปปราบ ทหารยิงอั้งยี่ตายไป 10 คน จับได้ 800 คน ผูกหางเปียรวมกันไว้เป็นพวงๆ

ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง คนจีนในไทยเริ่มมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคประชาธิปไตย นายกรัฐมนตรีไทยลายคนมีเชื้อสายจีน เช่น นายชวน หลีกภัย ซึ่งคนเชื้อสายจีนจากจังหวัดตรัง รวมถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งมีรากเหง้าจากตระกูลนักธุรกิจจีนชาวกวางตุ้ง สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านของชาวจีนจากกลุ่มแรงงานและพ่อค้า สู่กลุ่มผู้นำทางการเมืองและเศรษฐกิจ

ในด้านธุรกิจ คนจีนในเมืองไทยได้สร้างอาณาจักรเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ เช่น เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ของตระกูลเจียรวนนท์ ซึ่งเริ่มต้นจากการค้าพืชผลเกษตรในเยาวราช สู่การเป็นกลุ่มธุรกิจระดับโลกที่มีบทบาทในอุตสาหกรรมอาหาร การเกษตร และเทคโนโลยี ทั้งยังมีเบียร์ช้าง ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์เครื่องดื่มที่เติบโตจากรากเหง้าของคนจีนตระกูลสิริวัฒนภักดีในไทยด้วย

ถนนเยาวราช  หนึ่งในชุมชนชาวจีนในกรุงเทพฯ

เมืองต่าง ๆ ในประเทศไทย เช่น ภูเก็ต หาดใหญ่ ชลบุรี และนครสวรรค์ กลายเป็นศูนย์กลางของชุมชนจีนที่มีบทบาทสำคัญในระดับภูมิภาค ที่ภูเก็ต และระนอง มีชาวฮกเกี้ยนที่เข้ามาทำเหมืองแร่ดีบุก ที่หาดใหญ่มีชาวแต้จิ๋วที่ทำธุรกิจค้าขายและโรงงานน้ำแข็ง ส่วนที่นครสวรรค์เป็นศูนย์กลางของโรงสีข้าวและการค้าส่งที่เชื่อมโยงกับภาคเหนือ

แม้ในอดีตจะมีความขัดแย้งและความหวาดระแวงต่อคนจีนในไทยสมัยลัทธิคอมมิวนิสต์ขยายผล เช่น การควบคุมโรงเรียนจีน การจำกัดสิทธิพลเมือง และการปราบปรามกิจกรรมผิดกฎหมาย แต่ในปัจจุบัน คนไทยเชื้อสายจีนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยอย่างแนบแน่น โดยมีบทบาทในทุกระดับ ตั้งแต่แรงงานจนถึงผู้นำประเทศ

จากเสื่อผืนหมอนใบ ที่กลายเป็นธุรกิจหมื่นล้าน   คนไทยเชื้อสายจีนได้พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังของการปรับตัว ความขยัน และความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้กับสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง     บทบาทของคนจีนในเมืองไทยจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของอดีต แต่เป็นเรื่องของอนาคตที่ยังคงเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับสังคมไทยในทุกยุคทุกสมัย.

โดย อาทร จันทวิมล

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top