วันอาทิตย์ ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
บรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงอังกฤษ หรือบีบีซี สถานีโทรทัศน์สาธารณะชื่อดังของอังกฤษ กำลังเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี หลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ส่งจดหมายขู่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 36,000 ล้านบาท จากกรณีสารคดีที่ออกอากาศในปี 2567 ซึ่งมีการตัดต่อคำพูดจากสุนทรพจน์เมื่อวันที่ 6 ม.ค.2564 ทำให้ดูเหมือนทรัมป์เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนใช้ความรุนแรงบุกอาคารรัฐสภา
.jpg)
เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อทีมผู้ผลิตรายการ BBC Panorama อันเป็นรายการระดับ ‘เรือธง’ของตนเอง นำคลิปเสียงและภาพจากสุนทรพจน์ของทรัมป์ในวันชุมนุม มาตัดต่อโดยนำเนื้อหา 2 ช่วงของสุนทรพจน์ที่ทรัมป์กล่าวห่างกัน 54 นาทีมาตัดต่อรวมเป็นก้อนเดียวกัน ทำให้เกิดภาพลักษณ์ว่าเขากำลังยุยงให้เกิดการจลาจล
ประโยคเจ้าปัญหาที่ว่า คือ “We're going to walk down to the Capitol... and I'll be there with you. And we fight. We fight like hell.” จนเกิดความเข้าใจผิดว่า ทรัมป์พูดคำว่า "ต่อสู้อย่างสุดชีวิต" (Fight like hell) เพื่อโน้มน้าวชักชวนให้บรรดาผู้สนับสนุนของเขาเดินไปยังอาคารรัฐสภา ทั้งที่ในสุนทรพจน์จริง คำว่า Fight like hell ที่ทรัมป์พูด อยู่ในอีกส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์ ห่างจากส่วนแรกถึง 54 นาที อีกทั้งทรัมป์ยังพูดประโยคนี้ ในบริบทของการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อปกป้องประเทศ ไม่ได้เชื่อมโยงกับการใช้ความรุนแรงโดยตรง
.jpg)
ข้อผิดพลาดนี้ถูกเปิดโปงในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2568 เมื่อรายงานภายในของ ไมเคิล เพรสคอตต์ อดีตที่ปรึกษาด้านบรรณาธิการของ BBC รั่วไหลไปถึงสื่อ The Telegraph รายงานดังกล่าวระบุว่า การตัดต่อดังกล่าว ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญของคำพูดและทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กร ข่าวนี้ขยายวงอย่างรวดเร็ว นำไปสู่การร้องเรียนหลายร้อยกรณี กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวระดับประเทศ และนำไปสู่วิกฤตการณ์ของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้
หลังจากกระแสข่าวรุนแรงขึ้น ทิม เดวีย์ ผู้อำนวยการใหญ่ของ BBC และ เดโบราห์ เทอร์เนสส์ หัวหน้าฝ่ายบรรณาธิการข่าว ประกาศลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้ พร้อมคำขอโทษจากประธาน BBC ซาเมียร์ ชาห์ ที่ยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดในการตัดสินใจ และยอมรับว่าการตัดต่อดังกล่าวอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ามีการเรียกร้องให้ใช้ความรุนแรงโดยตรง แต่ยืนยันปฏิเสธข้อกล่าวอ้างเรื่องการมีอคติอย่างเป็นระบบในการรายงานข่าวของ BBC
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีทรัมป์ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการทางสถานีโทรทัศน์ ฟอกซ์ นิวส์ ยืนยันจำเป็นต้องยื่นฟ้องและดำเนินการทางกฎหมายต่อ BBC เนื่องจากสุนทรพจน์ที่เขากล่าวในปี 2564 และถูกตัดต่อและออกอากาศผ่านรายการสารคดีของ BBC เป็นการทำให้ผู้ชมเข้าใจผิดว่าเขาสนับสนุนให้มีการใช้กำลังก่อความรุนแรง เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง พร้อมเรียกร้องให้ BBC ออกแถลงการณ์แก้ไข ขอโทษอย่างเป็นทางการ และชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นภายในวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 พ.ย.) หากไม่ปฏิบัติตาม จะมีการฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาทในศาลสหรัฐฯ
.jpg)
โฆษกของ BBC บอกว่ารับทราบจดหมายดังกล่าวแล้ว และจะตอบกลับโดยตรงในเวลาที่เหมาะสม แม้ BBC ยังไม่เปิดเผยแนวทางทางกฎหมาย แต่ภายในองค์กรเกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างหนัก เพราะไม่เพียงแต่ต้องเผชิญการโจมตีจากทรัมป์ หากยังถูกฝ่ายการเมืองในอังกฤษ โดยเฉพาะพรรคอนุรักษนิยม ใช้เป็นเครื่องมือโจมตีต่อเนื่อง
ลิซ ทรัสส์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษจากพรรคอนุรักษนิยม โพสต์ลงบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ว่า ถึงเวลาที่โลกจะได้เห็น BBC ในมุมที่แท้จริง การบิดเบือนและอคติในการรายงานทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนมานาน เสียงวิจารณ์เช่นนี้ยิ่งทำให้ BBC ต้องตกอยู่ในจุดที่เปราะบางอย่างที่สุด ขณะที่ บอริส จอห์นสัน อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษจากพรรคอนุรักษนิยมอีกคน บอกว่าจะหยุดจ่ายค่าธรรมเนียมโทรทัศน์ (Licence Fee) จนกว่า BBC จะออกมาเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับคลิปที่เป็นข้อถกเถียงนี้
ข่าวอื้อฉาวนี้ เกิดขึ้นในระหว่างที่รัฐบาลอังกฤษกำลังอยู่ในช่วงตรวจสอบโครงสร้างค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของ BBC และพระราชบัญญัติหลวงที่คุ้มครององค์กรกำลังจะหมดอายุในสิ้นปี 2570 ฝ่ายอนุรักษนิยมจำนวนไม่น้อยใช้เหตุการณ์นี้เรียกร้องให้ ยุติการออกอากาศที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ ขณะที่นักข่าวและบุคลากร BBC จำนวนมากออกมาปกป้ององค์กร โดยยืนยันว่านี่เป็น "ข้อผิดพลาดทางงานข่าว" ไม่ใช่ความตั้งใจทางการเมือง และกำลังต่อสู้จริงจังเพื่อปกป้องการสื่อสารสาธารณะ ที่กำลังถูกคุกคามอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่หนแรกที่ BBC ตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการนำเสนอข่าว ที่หลายคนเรียกว่า ‘ในแบบที่อยากให้ผู้ชมเห็น’ แทนที่จะเป็นการนำเสนอข้อมูลและข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา และปราศจากอคติ ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทั้งการนำเสนอสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา BBC อยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะถูกกลุ่มผู้สนับสนุนทั้งอิสราเอลและปาเลสไตน์มองว่านำเสนอข่าวเข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่ง การนำเสนอข่าวหรือประเด็นเกี่ยวกับกลุ่มคนข้ามเพศ หรืออัตลักษณ์ทางเพศ ที่ BBC ถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่อเนื่องว่ามีอคติต่อคนบางกลุ่ม รวมถึงการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับฝ่ายขวา (อนุรักษ์นิยม) และฝ่ายซ้าย (หัวก้าวหน้า) หรือกลุ่ม woke ที่ BBC ถูกกล่าวหาว่า มีความโอนเอียงเข้าหากระแส woke อย่างชัดเจน
.jpg)
ในส่วนของบ้านเรา ถ้ายังจำกันได้ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา BBC ก็เพิ่งนำเสนอสารคดีเรื่อง Thailand: The Dark Side of Paradise ที่บอกเล่าถึงด้านมืดของประเทศไทย เกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และปัญหาทุจริต โดยพยายามนำเสนอข้อมูล หรือบทสัมภาษณ์ผู้คนที่สนับสนุนเรื่องนี้แต่เพียงด้านเดียว จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหมือนเป็นสารคดืที่ตั้งธงไว้แล้วว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่อันตราย จนทำให้เกิดกระแสตีกลับ ทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทย หรือเคยมาเที่ยวไทยก็บอกว่า เมืองไทยไม่ได้เป็นแบบนี้ ไม่ได้อันตรายอย่างที่เห็นในสารคดี รวมทั้งแขกรับเชิญในรายการต่างก็บอกด้วยว่า พวกเขาถูกตัดต่อเสียงสัมภาษณ์จากการพูดอย่างหนึ่ง แต่ถูกตัดต่อจนคำพูดของแขกรับเชิญถูกบิดเบือนให้หมายความอีกอย่างหนึ่ง
BBC มีอายุเก่าแก่มากกว่า 100 ปี ได้รับการยกย่องมาตลอด เรื่องมาตรฐานการรายงานข่าวที่มีความรับผิดชอบและจริยธรรม อีกทั้งมีสถานะพิเศษในอังกฤษและทั่วสหราชอาณาจักร เพราะเป็นสื่อสาธารณะที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ที่เก็บจากครัวเรือนในสหราชอาณาจักร เรียกได้ว่า BBC ได้รับเงินสนับสนุนจากประชาชนโดยตรง จึงมีความรับผิดชอบในการปกป้องผลประโยชน์ของสาธารณะโดยตรง และต้องรักษาความเป็นกลางในการรายงานข่าว
ผู้เชี่ยวชาญสื่อหลายคนมองว่า วิกฤตที่ BBC เผชิญตอนนี้ สะท้อนรอยร้าวที่ลึกกว่าข้อผิดพลาดในการตัดต่อ หรือการนำเสนอแบบมีอคติ เพราะมันกลายเป็นสัญลักษณ์ของสงครามความเชื่อมั่นต่อสื่อสาธารณะในยุคที่ความจริงถูกตีความตามมุมมองการเมือง ไม่เพียงแต่ BBC ต้องพิสูจน์ความถูกต้อง แต่ยังต้องต่อสู้เพื่อคงอยู่ในสังคมที่ความไว้วางใจต่อสื่อกำลังสั่นคลอน
ที่สำคัญ BBC ยังดูไม่แน่นอนว่าตัวเองอยากจะเป็นสื่อแบบไหน แม้ BBC จะเป็นสื่อสาธารณะที่ได้รับเงินสนับสนุนจากประชาชน แต่ก็มีแนวทางที่อยากจะแข่งขันอุตสาหกรรมสื่อ ซึ่งเป้าหมายสองอย่างนี้ บางครั้งก็ทำให้เกิดความขัดแย้งในแนวทางการทำงาน ที่ทำให้การตัดสินใจของผู้บริหารขาดความเฉียบขาด ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน รวมถึงความต้องการนำเสนอ ‘ความจริง’ ในแบบที่ BBC ต้องการ เพื่อตอบสนองต่อผลประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี