10 กันยายน 2021 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแห่งเดนมาร์ก “แมกนัส ฮูนิเก” ออกประกาศยกเลิกมาตรการควบคุมโควิด-19 ทั้งหมด รวมไปถึงการแสดงวัคซีนพาสปอร์ตในการเข้าไปในสถานที่ต่างๆ และการใช้หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ นั่นหมายความว่าชาวเดนิสทั่วประเทศ จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้อีกครั้ง หลังตกอยู่ในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เกือบ 2 ปี
“ตอนนี้ไวรัสโคโรน่า จะไม่เป็นโรคภัยร้ายแรงต่อสังคมของเราอีกต่อไปดังนั้น จึงขอให้ทุกคนมีความสุขกับการใช้ชีวิต และประคับประคองกันให้ดี”นี่เป็นข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ส่วนตัวของรัฐมนตรีสาธารณสุขคนนี้ โดยที่ในการสื่อสารแบบเป็นทางการของเขา รัฐมนตรีฮูนิเกได้มีการให้รายละเอียดเพิ่มเติมเอาไว้ถึงเหตุผลที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น กลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของทีมสาธารณสุข ก็เพราะเดนมาร์กมีตัวเลขบุคคลที่เข้ารับการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ คือ กว่า 70% ของประชากรในประเทศได้รับวัคซีนครบสองโดสแล้ว ซึ่งถือว่าสูงมากและส่วนใหญ่เป็นวัคซีนชนิด mRNA ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลต้าได้เป็นอย่างดี กระนั้น รัฐมนตรีสาธารณสุขของเดนมาร์ก ก็ยังไม่วางใจ 100% และพร้อมที่จะกลับมาใช้มาตรการควบคุมในทันที เมื่อมีการแพร่ระบาดเกิดขึ้นอีกครั้ง
“การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้น อยู่ภายใต้การควบคุม และเดนมาร์กมีตัวเลขผู้ฉีดวัคซีนในระดับที่สูง ทำให้สามารถยกเลิกมาตรการควบคุมการระบาดได้ แต่ก็ต้องขอย้ำเตือนว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้นยังไม่จบลง และเมื่อใดก็ตามที่เกิดผลกระทบจากการแพร่ระบาดขึ้นอีกครั้ง เราก็พร้อมกลับมาใช้มาตรการควบคุมในทันที”
ในส่วนของนักท่องเที่ยว และผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ทางเดนมาร์กก็ยังคงมาตรการอันเข้มงวด คือ การแสดงหลักฐานการตรวจเชื้อโควิด-19 (ผลลบไม่พบเชื้อ) ก่อนเดินทางเข้าเดนมาร์ก ซึ่งสำหรับผลตรวจPCR ต้องไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง ในขณะที่ผลตรวจ Rapid Antigen Test ต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมงก่อนเดินทางนอกจากนั้น นักท่องเที่ยว และผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ต้องตรวจหาเชื้ออีกครั้งหลังเดินทางถึงเดนมาร์กแล้ว และกักตัวต่อไปอีก 10 วัน โดยขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงของประเทศต้นทางของบุคคลท่านนั้น
อันที่จริงก่อนหน้านี้ ก็เคยมีหลายประเทศที่ออกมาประกาศคลายมาตรการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 และให้ประชากรในประเทศกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ในแบบที่เดนมาร์กกำลังดำเนินไปในปัจจุบัน แน่นอนว่า ประเทศเหล่านั้นก็มีความมั่นใจในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ แต่ท้ายที่สุด หลายประเทศก็ต้องกลับมาบังคับใช้มาตรการในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสอย่างเข้มงวดอีกครั้ง รวมไปถึงการปิดประเทศห้ามการเข้าออกของประชากร
สวิตเซอร์แลนด์ คือหนึ่งในประเทศที่ผ่านความคลี่คลายของการระบาดในประเทศมาแล้ว และต้องกลับไปใช้ความเข้มงวดในการควบคุมระยะห่างอีกครั้ง ในเวลาไม่นานนัก แม้ว่าจะได้รับการยกย่องจากทั่วโลกว่า เป็นประเทศที่เตรียมการรับมือการแพร่ระบาดของโควิด-19 และบริหารจัดการการติดเชื้อไวรัสในหมู่ประชากรในประเทศได้เป็นอย่างดีก็ตาม
เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศในพื้นที่เอเชียตะวันตกเฉียงใต้อย่างสิงคโปร์ และเวียดนาม รวมไปถึงไต้หวัน ซึ่งเคยได้รับความชื่นชมว่า สามารถบริหารจัดการการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศได้เป็นอย่างดี ถึงขนาดที่มีการออกมาประกาศถึงนโยบายการเปิดประเทศเพื่อสร้างการท่องเที่ยวแบบจับคู่กับประเทศความเสี่ยงต่ำอยู่บ่อยครั้ง (Travel Bubble) แต่ก็เกิดปัญหาเรื่องการติดเชื้อไวรัสในแบบแพร่กระจายเฉพาะกลุ่มอย่างไม่คาดคิดขึ้นมาเสมอ และในปี 2021 ก็มีบางช่วงเวลาที่สาหัสถึงขนาดประสบกับปัญหาระบบสาธารณสุขแออัด เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัสขยายอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนล้นเตียงในโรงพยาบาล ไม่ต่างจากที่เกิดขึ้นในประเทศไทยของเราในช่วงตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา
คำถามก็คือ สาเหตุใดที่ทำให้ประเทศ ซึ่งมีความมั่นใจถึงขนาดจะทำ “Covid Zero” ให้ได้อย่างนิวซีแลนด์ หรือประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ติดอยู่ในอันดับต้นๆ ในการควบคุมโควิด-19 จากการจัดอันดับขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO อย่างสิงคโปร์ เวียดนาม ไต้หวันรวมถึงไทย ไม่สามารถยืนระยะในการเปิดประเทศ และปลดมาตรการควบคุมโควิด-19 เพื่อให้ประชาชนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้
เท่าที่วิเคราะห์จากสาเหตุของการระบาดรอบใหม่ของกลุ่มประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นั่นก็คือมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดในส่วนของผู้เดินทางมาจากต่างประเทศมีความหละหลวม และความเข้มข้นของการตรวจหาเชื้อในหมู่ประชาชนยังไม่ครอบคลุม รวมไปถึงการให้ความร่วมมือของประชาชนต่อการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของทางภาครัฐ นอกจากนั้น ปัญหาเรื่องการบริการด้านวัคซีนที่มีประสิทธิภาพยังไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากรกลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะเมื่อโควิดสายพันธุ์เดลต้าทำการแพร่ระบาดอย่างหนัก ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตราความแออัดของเตียงในสถานพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นจนเกินขีดจำกัดในบางช่วงเวลา และสาเหตุหลักนี้เองที่เป็นต้นเหตุให้สวิสเซอร์แลนด์ล้มเลิกนโยบายทำโควิดให้เป็นศูนย์ และเปลี่ยนเป็นการอยู่ร่วมกับโควิดด้วยความปลอดภัย ซึ่งก็เป็นกลยุทธ์ที่หลายประเทศเริ่มเดินตามรวมไปถึงสิงคโปร์ และประเทศไทยของเรา
“เราไม่อาจขจัดไวรัสโควิดให้หมดไป แต่สามารถบริหารจัดการมันให้เหมือนที่เราทำกับไข้หวัดธรรมดาได้”นี่คือสารจาก “ลี เซียนลุง” นายกรัฐมนตรีแห่งสิงคโปร์ ที่ออกมาชักชวนประชาชนให้ปรับตัวเพื่อการอยู่ร่วมกับโควิด-19 ด้วยการบริหารจัดการที่ดีของรัฐบาล และความรับผิดชอบทางสังคมของประชาชนในประเทศ
ดังนั้น แบบเรียนฉบับเปิดประเทศของเดนมาร์ก จึงต้องนำเอาจุดอ่อนในการผ่อนคลายมาตรการควบคุมไวรัสของประเทศต่างๆ ที่กล่าวถึงมาสร้างเป็นจุดแข็งสำหรับการคืนชีวิตประชาชนให้กลับเป็นปกติ ในขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกอาจจะคลี่คลาย แต่ก็ยังคงไม่เบาบางจนเป็นที่น่าวางใจ กระนั้น ในประโยคของรัฐมนตรีสาธารณสุขเดนมาร์กที่ออกมาสื่อสารกับประชาชน ก็ยังคงแสดงความพร้อมที่จะกลับมาใช้มาตการควบคุมไวรัสอันเข้มข้นขึ้นอีกครั้ง ภายใต้จุดแข็งที่เดนมาร์กน่าจะได้เปรียบประเทศอื่นๆ ก็คือ ความร่วมมือของประชาชนในประเทศทั้งมาตรการเว้นระยะห่าง และการเข้ารับวัคซีน ที่ต้องยกย่องว่าเต็มไปด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมในระดับที่มีประสิทธิภาพ และการเข้าถึงของภาครัฐ ทั้งในเรื่องของมาตรการทางสาธารณสุขที่มีความยืดหยุ่น และความครอบคลุมของวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสำหรับทุกสายพันธุ์ต่อจำนวนประชากรทั้งหมดในประเทศ รวมไปถึงนโยบายเว้นระยะห่างของทางภาครัฐ ที่ลดทอนผลกระทบทางเศรษฐกิจได้อย่างเหมาะสม
เหล่านี้เองที่ทำให้หลายประเทศจับจ้องไปที่เดนมาร์ก ว่าจะคืนความปกติสุขให้แก่ประชาชนได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะมีโควิดเป็นศูนย์หรือไม่ก็ตาม เพราะความลงตัวของภาครัฐกับประชาชนที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้ความเชื่อมั่นในระบบสารธารณสุขของประเทศมีอัตราที่สูง นั่นหมายถึง ความพร้อมเพียงที่จะปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ภายใต้ความเห็นอกเห็นใจในการบังคับใช้นโยบายจากทางภาครัฐต่อประชาชน ซึ่งตรงนี้เอง คือ กุญแจสำคัญ ที่จะทำให้เราสามารถอยู่กับโควิด-19 ได้อย่างแท้จริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี