ปี 2475 คือปีที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงกล่าวได้ว่า มีความสำคัญต่อการเมืองไทย และต่อสังคมไทยที่ประชาชนจะได้ “กำหนดอนาคต” ของประเทศด้วยตนเองผ่าน “การเลือกตั้ง” ทว่าวันเวลาผ่านไป 85 ปี วงจรการเมืองไทยในภาพใหญ่หนีไม่พ้นการเลือกตั้งรัฐบาลพลเรือน แล้วรัฐบาลพลเรือนก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าใช้อำนาจอย่างไม่ถูกไม่ควร
พร้อมกันนั้นฝ่ายค้านก็โจมตีฝ่ายรัฐบาลแบบไร้เหตุผล เกิดการชุมนุมประท้วง จบลงด้วยทหารเข้ามาทำรัฐประหารยึดอำนาจ แต่เมื่อรัฐบาลทหารบริหารประเทศไปสักพักก็ถูกตั้งคำถามไม่ต่างจากรัฐบาลพลเรือน จนท้ายที่สุดก็ต้องคืนอำนาจให้ประชาชนกลับไปเลือกตั้ง วนไปมาไม่รู้จบสิ้น จนหลังๆ เริ่มมีเสียงสะท้อนจากประชาชนบางส่วนรู้สึก “เหนื่อยหน่าย” ไม่อยากได้แล้วประชาธิปไตยอยู่บ้างเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม หากไปดู “การเมืองภาพเล็ก” หรือตามท้องถิ่นต่างๆ แม้มุมหนึ่งจะได้ยินข่าวคราวการทุจริตหรือการใช้อำนาจอย่างไม่เหมาะสมไม่ต่างจากการเมืองระดับชาติ แต่อีกมุมหนึ่งก็จะได้เห็น “ความมุ่งมั่น” ของชาวบ้านในท้องถิ่นนั่นเองที่จะเข้าไปร่วมขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะ ดังที่ทีมงาน แนวหน้าวาไรตี้ มีโอกาสติดตามคณะของ สถาบันพระปกเกล้า เดินทางไปยัง จ.เชียงราย เพื่อไปเยี่ยมชม ศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง พื้นที่เรียนรู้และฝึกฝนการเมืองภาคประชาชน
วรสฤษฎิ์ ปิงเมือง ประธานศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมืองเชียงราย เล่าว่า ที่ จ.เชียงราย เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีสถานการณ์ “การเมืองสีเสื้อ” ชัดเจน ดังนั้นตั้งแต่วันที่ตั้งศูนย์ฯ ในปี 2551 การทำงานของที่นี่มีข้อปฏิบัติคือ “จะไม่มีการพูดกันว่าใครอยู่สีใด” แต่ให้ทุกคนทุกฝ่ายเข้ามาหารือเพื่อขับเคลื่อนประเด็นสำคัญของท้องถิ่น เช่น การศึกษา สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ไม่เฉพาะพลเมืองที่เป็นผู้ใหญ่ แต่ต่อยอดไปประสานกับ สภาเด็กและเยาวชน เกิดเป็นเครือข่ายเยาวชนจิตอาสาขึ้นมาด้วยอีกทางหนึ่ง
“เราเรียกเครือข่ายนี้ว่า มัดปุ๊กเจียงฮาย มัดปุ๊ก แปลว่า มัดรวมกันเป็นกระจุก ที่เชื่อมโยงกันได้ทุกอำเภอ ต่อไปจะทำให้ลงไปถึงระดับตำบลหรือกลุ่มคนรักรถเชียงราย ทั้งกลุ่มบิ๊กไบค์หรือเด็กแว้น ก็ได้รวมตัวกันเป็นเครือข่ายมีสมาชิกถึงเกือบ 8,000 คน เพื่อทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ และช่วยงานสาธารณะต่างๆ” วรสฤษฎิ์ กล่าว
วรสฤษฎิ์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังมี เครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุวัดหัวฝา อ.พาน ที่ยกระดับขึ้นมาเป็นโรงเรียนพลเมือง เพื่อการเรียนรู้ตลอดชีพ ตามหลักความต้องการของผู้เรียน ซึ่งกำลังเชื่อมต่อให้ผู้ที่ผ่านการอบรมครบตามหลักสูตร สามารถนำไปปรับโอนหน่วยกิตในการเรียนได้ส่วนหนึ่ง ก่อนนำไปใช้สมัครเข้าศึกษาต่อเพิ่มอีกราวปีครึ่ง ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เพื่อให้จบหลักสูตร
หรือความสำเร็จในการ “เชื่อมโยงนักวิชาการจากสถาบันการศึกษากับชาวบ้าน” ร่วมกันเก็บข้อมูลและค้นคว้าจนสามารถ “สรุปสภาพปัญหาลุ่มน้ำงาว ที่ อ.เวียงแก่น” เกิดเป็นแนวทางสำหรับนำไปเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในพื้นที่ตลอดลุ่มน้ำงาว ให้การยอมรับและนำข้อมูลไปปรับใช้ในการเสนอแผนโครงการทำงบประมาณ
แต่กว่าจะเกิดเป็นรูปเป็นร่างแบบนี้ ต้องบอกว่า “ไม่ง่าย” ดังเรื่องเล่าของเลขานุการประจำศูนย์ฯ ไพรัช โรงสะอาด ที่กล่าวว่า ช่วงแรกๆ “แทบไม่มีใครมา” เพราะชาวบ้านแต่ละคนต่างก็มีสีเสื้อ มีจุดยืนทางการเมืองของตนเอง หรือบางส่วนก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทำให้ต้องอาศัยความอดทนและพยายามอย่างมาก “ค้นหาบุคคลผู้มีจิตสาธารณะ” มาร่วมเป็นกรรมการในศูนย์ฯ โดยปัจจุบันมีตัวแทนกรรมการครบทุกอำเภอแล้ว
“เราไม่ได้ส่งเสริมประชาธิปไตยอย่างเดียว แต่ยังทำกิจกรรมเพื่อเศรษฐกิจ จึงเป็นประชาธิปไตยและเศรษฐกิจฐานราก และอีกปัญหาคือเรื่องงบประมาณแต่ละปีจะได้รับงบประมาณส่งสนับสนุนจากสถาบันพระปกเกล้าปีละ 1-2 แสนบาทเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอ แต่จะได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัย องค์กรภายนอกเพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ของศูนย์ ปัจจุบันการทำงานของศูนย์เป็นที่ยอมรับถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของคนเชียงราย” ไพรัช ระบุ
ด้าน ศุภณัฐ เพิ่มพูนวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินงานของศูนย์ ถือว่าตอบโจทย์สิ่งที่ รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ด้านการปฏิรูปการเมือง “มาตรา 258” ที่มุ่งหวังให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองรวมตลอดทั้งการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ รู้จักยอมรับในความเห็นที่แตกต่างกัน และให้ประชาชนใช้สิทธิทางการเมืองโดยอิสระ ปราศจากการครอบงำแทรกแซง
“แม้ว่าจะยังไม่สำเร็จถึง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในการสร้างความเข้มแข็ง เปลี่ยนการเรียนรู้จากการท่องจำ มาเป็นการเรียนรู้เพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชน” ผอ.ศุภณัฐ กล่าวทิ้งท้าย
เคยมีผู้กล่าวว่า “ความแข็งแรงของอาคารอยู่ที่รากฐาน” ดังนั้นก็ย่อมกล่าวได้เช่นกันว่า “ความเข้มแข็งของประชาธิปไตยอยู่ที่ฐานราก” หรือก็คือการขับเคลื่อนของประชาชนในท้องถิ่น ผลักดันนโยบายเพื่อประโยชน์สาธารณะของท้องถิ่น เช่น การรวมกลุ่มเพื่อเข้าไปร่วมคิดร่วมตัดสินใจกับหน่วยงานส่วนท้องถิ่นในโครงการที่ใกล้ตัว เช่น การทำถนน การหาพื้นที่กำจัดขยะ เป็นการเปลี่ยนจาก “ประชาธิปไตยตัวแทน” กาบัตรเลือกตั้งแล้วก็จบ ไปสู่ “ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม” ที่ประชาชนเข้าไปเสนอแนะ และตรวจสอบการทำงานของฝ่ายการเมือง
เมื่อการเมืองภาคประชาชนในระดับท้องถิ่นเข้มแข็ง..ท้ายที่สุดการเมืองในระดับชาติก็จะดีไปด้วยโดยปริยาย!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี