การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Ecotourism) เป็นกระแสที่กำลังมาแรงทั้งในไทยและต่างประเทศ โดย กรมป่าไม้ ได้ให้นิยามของการท่องเที่ยวลักษณะนี้ไว้ว่า หมายถึง “การท่องเที่ยวรูปแบบหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปยังแหล่งธรรมชาติและแหล่งวัฒนธรรมอย่างมีความรับผิดชอบ โดยไม่ก่อให้เกิด การรบกวนหรือความเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” แต่มีวัตถุประสงค์อย่างมุ่งมั่น เพื่อชื่นชม ศึกษาเรียนรู้ และเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพ พืชพรรณ และสัตว์ป่า ตลอดจนลักษณะทางวัฒนธรรมที่ปรากฏในแหล่งธรรมชาตินั้น
เช่นเดียวกับ องค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UNWTO) สรุปองค์ประกอบของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศไว้ 6 ประการ คือ 1.เป็นการท่องเที่ยวที่คำนึงถึงธรรมชาติ 2.มีการให้ความรู้และการสื่อความหมาย 3.เป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวของกลุ่มเล็กๆ 4.ลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธรรมชาติ 5.ก่อประโยชน์แก่ท้องถิ่น และ 6.กระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์
อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวรูปแบบนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากชุมชนไม่ตระหนักและเป็นผู้ริเริ่มอย่างเข้าใจ ดังตัวอย่างของ 2 ชุมชนคือ “บางคนที-บางนกแขวก” ซึ่งเป็น 2 ตำบลในพื้นที่ อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม ที่ชาวบ้านลุกขึ้นมาจัดทำ “โครงการวิจัยชุมชนกับการจัดระบบนิเวศเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์คลองดำเนินสะดวก พื้นที่โซน 6” เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รู้ศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติ การเตรียมชุมชนให้พร้อม และพัฒนาระบบการจัดการท่องเที่ยวที่สามารถรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างการมีส่วนร่วมให้กับชุมชน
บางคนทีและบางนกแขวก เป็นพื้นที่ราบลุ่มติดแม่น้ำแม่กลองจึงมีแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ และยังเป็นเส้นทางน้ำเชื่อมระหว่างแม่น้ำแม่กลองกับคลองดำเนินสะดวก ซึ่งไหลผ่านกลางชุมชนใน 2 ตำบล ด้วยเป็นพื้นที่ดินชุ่มน้ำดี วิถีชีวิตของชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีการปลูกพืชสวนผสม เช่น มะพร้าว ลิ้นจี่ กล้วยน้ำว้า ส้มโอฯลฯ แต่ปัจจุบันชุมชนเริ่มประสบปัญหาขยะและลำคลองตื้นเขิน เพราะขาดการใส่ใจดูแลรักษา หลังจากความเจริญเข้ามาสู่พื้นที่ ผู้คนหันไปใช้ถนนในการเดินทางแทนการสัญจรทางน้ำเหมือนในอดีต
พนม นาคคีรี สารวัตรกำนัน หมู่ 2 ต.บางคนที เล่าว่า เมื่อความเจริญเข้ามาในพื้นที่ทำให้วิถีชุมชนหายไป จากที่เคยทำสวนทำไร่ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าสืบทอดกันมาถึงรุ่นลูกหลาน ก็เริ่มขายที่ให้กับนายทุนจากภายนอกเข้ามาทำธุรกิจปลูกสิ่งก่อสร้างโรงแรม บ้านพัก รีสอร์ท และโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้สภาพพื้นที่ในชุมชนเปลี่ยนแปลง มีการถมคลองเพื่อทำถนน ส่งผลให้การสัญจรและการไหลของน้ำเกิดการเบี่ยงเบน
“คลองซอยที่กระจายอยู่ในชุมชนไว้รองรับน้ำเพื่อใช้เป็นพื้นที่แก้มลิงของชุมชนลดน้อยลง เหตุเพราะขาดจิตสำนึก ไม่ใส่ใจดูแลแม่น้ำลำคลอง ทิ้งขยะไม่เป็นที่ เกิดการสะสมขยะมูลฝอย รวมทั้งผักตบชวาและวัชพืชก็ไม่มีการเก็บ ปล่อยให้ขึ้นรกปกคลุมไปทั่วจนเรือไม่สามารถผ่านได้ จึงเห็นว่าต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อกระตุ้นและสร้างจิตสำนึก ให้คนที่นี่หันกลับมาใส่ใจดูแลรักษาความสะอาดของแม่น้ำลำคลอง” เขากล่าว
สารวัตรกำนันผู้นี้ เล่าต่อไปว่า เมื่อทาง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เข้ามาฝึกอบรมให้ชาวบ้านมีทักษะด้านการวิจัย ก็ตัดสินใจเข้าร่วมด้วยเห็นว่าการทำวิจัยอย่างเป็นระบบ มีข้อมูลเป็นเหตุเป็นผลย่อมหมายถึง “ความน่าเชื่อถือ” สามารถนำไปเสนอกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อขอให้ช่วยสนับสนุนปัจจัยต่างๆ ได้ และสำหรับที่บางคนที-บางนกแขวก ผลที่ได้อีกประการหนึ่ง คือเป็นการ “ปลูกฝังจิตสำนึกให้กับคนรุ่นใหม่” ให้ช่วยกันอนุรักษ์และรักษาความสะอาดคูคลอง ปัจจุบันพบว่าปัญหาขยะที่ทิ้งกันเกลื่อนกลาดไม่เป็นที่ลดลงไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ไม่เพียงแต่ทำให้ชุมชนได้ลำคลองและสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่สะอาดกลับคืนมาเท่านั้น แต่การทำวิจัยโดยชุมชนเพื่อแก้ปัญหาของชุมชนครั้งนี้ ยังได้เกิดเป็น “ฐานข้อมูลและแผนพัฒนาชุมชน” ของทั้ง 2 ตำบล ที่ได้จากการประชุมหารือระหว่างคนในชุมชน นำไปสู่รูปแบบการท่องเที่ยวที่สอดคล้องต่อระบบนิเวศและประวัติศาสตร์ โดยมีการจัดตั้ง “ศูนย์เรียนรู้คลอง” ขึ้นที่โรงเรียนเมธีชุนหะวัณวิทยาลัย เพื่อเป็นที่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของที่นี่
“ถ้าวันใดที่ไม่มีน้ำเราก็อยู่ไม่ได้ เพราะน้ำเปรียบเสมือนเส้นเลือดในร่างกาย การทิ้งขยะลงในแม่น้ำก็เหมือนกับทิ้งใส่ตัวเอง และการถมคลองทำถนนก็เหมือนเส้นเลือดที่อุดตัน ย่อมก่อให้เกิดโรคภัยตามมา เช่นเดียวกันหากปล่อยให้แม่น้ำลำคลองสกปรก เน่าเสีย เราก็จะไม่มีน้ำสะอาดไว้ดื่มไว้ใช้ แต่ถ้าแม่น้ำใสสะอาดก็เหมือนร่างกายที่สมบูรณ์ไม่มีโรคภัย ดังนั้นถ้าคิดว่าเรารักชีวิตของเราแค่ไหน ก็สมควรที่จะรักแม่น้ำลำคลองมากเท่านั้น” พนม กล่าวทิ้งท้าย
นอกจากจะเป็นการฟื้นฟูลำคลองและเกิดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ งานวิจัยของชาวชุมชนบางคนทีและบางนกแขวก ยังมีความหมายในแง่ “การตามหารากเหง้าของตน” คนในชุมชนโดยเฉพาะเด็กๆ ได้รับรู้ว่าบรรพชนของพวกเขาเป็นใคร? ชุมชนของพวกเขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? โดยมีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ ได้แก่ โรงเรียนดรุณานุเคราะห์, โรงเรียนวัดเจริญสุขาราม (วัฒนานุวรรตน์) และโรงเรียนเมธีชุณหะวัณวิทยาลัย รวมถึงชุมชนมีความสามัคคีจากการที่สมาชิกได้ “ร่วมคิด-ร่วมทำ” ร่วมพัฒนาถิ่นฐานบ้านเกิดของตน
และหากทุกชุมชนมีทักษะการทำวิจัย จะทำให้เกิดการ “เชื่อมต่อ” ร้อยเรียงข้อมูลกันตั้งแต่ระดับตำบลไปจนถึงอำเภอ หรือแม้แต่ระดับจังหวัด โครงการพัฒนาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ย่อมเปิดโอกาสที่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนในชุมชนเองในท้ายที่สุด!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี