ยุคสมัยนี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้อง “ออนไลน์” โดยเฉพาะ “การศึกษา” ที่ห้องเรียนและตำรับตำราแบบเดิมๆ ถูกลดบทบาทลงไปเมื่อมี “อินเตอร์เนตความเร็วสูง” พร้อมกับคอมพิวเตอร์และมือถือสมาร์ทโฟนสมรรถนะดีในราคาที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ ทำให้การค้นหาข้อมูลข่าวสารต่างๆ ทำได้อย่างรวดเร็วและทำได้แทบทุกที่ทุกเวลาตราบเท่าที่สัญญาณเนตไปถึงและมีอุปกรณ์เชื่อมต่อ
อย่างไรก็ตาม “ผู้สูงวัย-คนใกล้สูงอายุ” หรือประชากรกลุ่ม “Baby Boom, Gen-X” ยังเป็นกลุ่มที่มีข้อจำกัดในการใช้อินเตอร์เนตอยู่พอสมควร เพราะประชากรทั้ง 2 กลุ่มกว่าจะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีใหม่ก็มีอายุมากพอสมควร ต่างจากกลุ่ม “Gen-Y, Gen-Z” ที่ได้ใช้ตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยหนุ่มสาวอันเป็นช่วงวัยที่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้รวดเร็วกว่า ปัญหา “ช่องว่างระหว่างวัย” จึงปรากฏให้เห็นทั่วไป รวมถึงในแวดวงการศึกษาที่ครูบาอาจารย์รุ่นเก่าๆ ไม่สันทัดในการใช้สื่อออนไลน์ แล้วก็ตามเด็กรุ่นใหม่ๆ ไม่ทัน ห้องเรียนจึงกลายเป็นสถานที่น่าเบื่อหน่ายไปโดยปริยาย
เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงจัดอบรมบุคลากรทางการศึกษาและแกนนำนักเรียน ในหัวข้อ “อ่านสื่อรู้ ดูสื่อเป็น เห็นสื่อต่าง สร้างสื่อได้” (Teacher Training for Digital and Literacy) ไปเมื่อเร็วๆ นี้ และได้ผลตอบรับที่ดี อาทิ ชไมพร สุธรรม ครูโรงเรียนดงเจนวิทยาคม จังหวัดพะเยา กล่าวว่า หลังจากเป็นตัวแทนครูในโรงเรียนไปเข้าร่วมอบรม เมื่อกลับไปยังโรงเรียนและไปเล่าให้ครูคนอื่นๆ ฟัง ในตอนแรกก็จะมีแต่ครูรุ่นใหม่ๆ อายุยังไม่มากเท่านั้นที่สนใจ
ประชากรไทยและการใช้สื่อออนไลน์ ในปี 2560 (ข้อมูลจาก Kepios)
ครูชไมพร เล่าต่อไปว่า แต่เมื่อนำเสนอผลการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนการสอนโดยโพสต์ลงในกลุ่มสื่อสารผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ (Line) ของครูด้วยกัน ในเวลาต่อมาก็ได้รับความสนใจจากกลุ่มครูอาวุโสไปด้วย อาทิ แอพพลิเคชั่น “Zip Grade” ซึ่งใช้ในการตรวจข้อสอบ จากเดิมเคยต้องใช้เวลาตรวจข้อสอบเด็กนักเรียนหนึ่งห้อง 2 ชั่วโมง พอมีเครื่องมือพบว่าใช้เวลาเพียง 10 นาที และสามารถตรวจแบบ RealTime ต่อจอโปรเจ็กเตอร์แสดงผลให้นักเรียนได้ลุ้นผลคะแนนของตนเองในห้องเรียน ทำให้เกิดการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น
“เราใช้วิธีการจับคู่ครูวัยรุ่นกับคู่กับครูสูงวัย เพื่อเป็นพี่เลี้ยงแบ่งปันความรู้กันและกัน ซึ่งนอกจากจะเลือกสื่อดิจิทัลมาสอนเด็กๆ แล้ว ครูในโรงเรียนยังใช้เทคโนโลยี มาช่วยในการทำงานของครู เช่น แอพพลิเคชั่น Auto Surveyที่นำมาช่วยในงานวัดผลประเมินผล งานประกันคุณภาพการศึกษา ทำให้ใช้เวลากับภาระงานน้อยลง และมีเวลาใส่ใจกับการเรียนการสอนเด็กมากขึ้น” ครูชไมพร กล่าว
คุณครูท่านนี้ ฝากข้อคิดว่า หลายๆ โรงเรียนมักพบปัญหาครูสูงวัยต่อต้านการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอน ดังนั้น “ผู้บริหารจึงต้องให้การสนับสนุนและมีนโยบายอย่างจริงจัง และครูที่สามารถใช้เครื่องมือต่างๆ ได้ต้องไม่ตำหนิครูที่ยังใช้ไม่เป็น” แต่ต้องให้กำลังใจและถ่ายทอดความรู้ให้ด้วยความเต็มใจ และผลที่ได้คือช่องว่างระหว่างครูและนักเรียนลดน้อยลง เพราะเด็กๆ รู้สึกว่าครูก็ใช้เทคโนโลยีเช่นเดียวกับเขา
“ในอดีตครูมักจะห้ามไม่ให้เด็กใช้มือถือ ไม่ให้เล่นคอมพิวเตอร์ เราเปลี่ยนจากห้ามมาเป็นสนับสนุนให้เขาใช้ แต่แนะนำการใช้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์แทน ใช้เป็นเวลา อย่างการนำ Google Classroom มาใช้ เราพบว่าเด็กๆ ชอบทำการบ้านและส่งงานครบมากขึ้น ซึ่งจากที่ครูแกนนำในโรงเรียนดงเจนวิทยาฯ เป็นครูที่เข้าไปค้นหาเครื่องมือเพื่อนำมาใช้ วันนี้เราคุยกันว่า ในอนาคตเราอยากพัฒนาเครื่องมือเพื่อช่วยการทำงานของครู และนำไปไว้ใน Google Play เพื่อให้ครูคนอื่นๆ ได้โหลดนำไปใช้เป็นประโยชน์ต่อไปด้วย” ครูชไมพร ระบุ
ขณะที่ สิทธินันท์ จันทมล นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเลยอนุกูลวิทยา จังหวัดเลย กล่าวเสริมว่า การนำสื่อดิจิทัลมาใช้ในการเรียนการสอนทำให้บรรยากาศในชั้นเรียนสนุกขึ้น จากแต่ก่อนที่ครูจะใช้หนังสือ เขียนกระดานดำหรือใช้สไลด์ ทำให้ห้องเรียนไม่น่าเบื่อ ซึ่งกลุ่มนักเรียนแกนนำโรงเรียนเลยอนุกูลวิทยาก็ได้ร่วมกับครูในโรงเรียน นำความรู้ที่ได้จากโครงการ TT ไปขยายผลให้กับโรงเรียนอื่นๆ ด้วย
บรรยากาศการอบรม
ศรีดา ตันทะอธิพานิช ผู้จัดการมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย กล่าวว่า เพราะสื่อออนไลน์มีบทบาทมากในปัจจุบัน จึงต้องพัฒนาศักยภาพครูให้ใช้สื่อใหม่นี้จัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงใช้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ ซึ่งการรับสมัครครูเข้าร่วมโครงการ มีเงื่อนไขว่า ผู้บริหารโรงเรียนต้องมีหนังสืออนุญาตให้ครูเข้าร่วมกิจกรรมตามเงื่อนไขที่โครงการกำหนดครบทุกครั้งตามหลักสูตร เพื่อให้ได้ครูจากโรงเรียนที่สามารถขยายผลและเป็นแกนนำได้จริง
ทั้งนี้ผู้เข้ารับการอบรมไม่เพียงแต่ต้องถ่ายทอดความรู้ให้กับครูในโรงเรียนเดียวกันเท่านั้น แต่ยังต้องสามารถพัฒนาแกนนำเด็กและเยาวชนเพื่อขยายผลไปสู่กลุ่มเพื่อนหรือรุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียน ขณะเดียวกันก็ต้องขยายผลไปสู่ครูโรงเรียนอื่นๆ ด้วย ซึ่งก็เป็นที่น่าดีใจว่า นอกจากเครื่องมือที่ทางโครงการนำเสนอให้ครูที่เข้าร่วมแล้ว ครูยังค้นหาเครื่องมือใหม่ๆ และนำมาแบ่งปันในกลุ่มเพื่อนครูด้วยกันเอง หรือโรงเรียนบางแห่งนักเรียนเป็นผู้สอนให้ครูได้ใช้เครื่องมือหรือสื่อใหม่ๆ ในการเรียนการสอนอีกด้วย
“บรรยากาศการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น หากขยายผลไปได้ครอบคลุมทุกโรงเรียนก็จะทำให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และเด็กไทยก็จะสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ผจก.มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี