ผอ.ศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา อำเภอทองผาภูมิ แฉ"กรมควบคุมมลพิษฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ด้วยวิธีฝังกลบ" ชี้ควรแก้ไขให้ได้ค่ามาตรฐานตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด เผยที่ผ่านมาการฟื้นฟูล่าช้าแถมยังทำไม่ถูกต้องครบถ้วน ชี้ไม่ใช่มีชาวบ้านคลิตี้เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากพิษสารตะกั่ว แต่ประชาชนยที่ใช้น้ำในแม่กลอง ยาวไปจนถึงคนปริมณฑลและกรุงเทพฯด้วย
วันนี้ 10 เม.ย.61 ที่อำเภอทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา กล่าวถึงควงามคืบหน้าการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางกรมควบคุมมลพิษเริ่มกระบวนการในการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ หลังจากมีคำพิพากษาของศาลปกครองมากว่า 5 ปีแล้วเนื่องจากล่าช้าอย่างมาก ซึ่งสิ่งที่น่าเป็นห่วงในแผนการฟื้นฟูคือไม่มีการดูดตะกอนตะกั่วออกทั้งหมดในลำห้วย โดยดูดเพียงไม่กี่จุด ทั้งแหล่งกำเนิดมลพิษ คือ โรงแต่งแร่เดิมก็ไม่มีการเอาตะกั่วที่มีอยู่ออกทั้งหมด ดังนั้น แม้สิ้นสุดแผนการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ในปี 2563 ลำห้วยคลิตี้และโรงแต่งแร่ก็ยังมีสารตะกั่วปนเปื้อน ซึ่งเป็นอันตรายต่อชาวบ้านและธรรมชาติ
"ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2556 ให้กรมควบคุมมลพิษดำเนินการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ ซึ่งไหลมาจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและเป็นต้นน้ำของแม่น้ำแม่กลอง ให้กลับมาใช้ได้เหมือนเดิม ซึ่งรวมถึงการกำหนดแผนงาน วิธีการ และดำเนินการฟื้นฟูตรวจและวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำ ดิน พืชผัก และสัตว์น้ำในลำห้วยคลิตี้ให้ครอบคลุมทุกฤดูกาลอย่างน้อยฤดูกาลละ 1 ครั้ง จนกว่าจะพบว่าค่าสารตะกั่วในน้ำ ดิน พืชผักและสัตว์น้ำในลำห้วยคลิตี้ไม่เกินค่ามาตรฐานเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี รวมทั้งให้ชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 22 คนซึ่งเป็นผู้แทนของชาวบ้านคลิตี้เป็นเงินรายละ 177,199.55 บาท"
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า กรมควบคุมมลพิษควรนำตะกั่วทั้งหมดที่ปนเปื้อนบริเวณโรงแต่งแร่ที่เป็นจุดกำเนิดมลพิษและในลำห้วยคลิตี้ที่มีการปนเปื้อนออกทั้งหมด ด้วยการให้บริษัทรับกำจัดของเสียอุตสาหกรรมดำเนินการ ซึ่งจะมีการขนส่งไปสู่โรงงานเพื่อใช้กระบวนการกำจัดมลพิษเหล่านี้ให้มีสภาพไม่เป็นมลพิษ แล้วจึงฝังกลบในพื้นที่ของบริษัท ซึ่งที่ผ่านมากรมควบคุมมลพิษเคยใช้วิธีนี้กำจัดมลพิษที่ลำห้วยคลิตี้มาแล้วในหลุม 4 หลุมริมลำห้วย เมื่อราว 10 ปีก่อน
"แต่ครั้งนี้กรมควบคุมมลพิษกลับทำเพียงย้ายที่อยู่ของมลพิษจากในลำห้วย ไปฝังกลบในหลุมบ่อเหนือลำห้วยคลิตี้ในพื้นที่ป่าเท่านั้น โดยไม่มีการกำจัดมลพิษ ถ้ามีการรั่วไหล มลพิษเหล่านี้จะไหลกลับลงสู่ลำห้วยคลิตี้และมาสู่หมู่บ้านคลิตี้ล่างเช่นเดิม"
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า การฟื้นฟูที่ล่าช้าและทำไม่ถูกต้องครบถ้วนนี้ ไม่ใช่มีผลเฉพาะชาวบ้านคลิตี้ หรือสัตว์ที่อยู่บริเวณลำห้วยหรือชาวจังหวัดกาญจนบุรี เท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบจากพิษสารตะกั่ว น้ำในลำห้วยคลิตี้ที่ปนเปื้อนสารตะกั่วได้ไหลลงสู่แม่น้ำแม่กลอง ซึ่งน้ำจากแม่น้ำแม่กลองที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ได้ผันลงสู่คลองมหาสวัสดิ์ เพื่อเป็นน้ำดิบที่นำไปผลิตน้ำประปาให้คนกรุงเทพฯ และคนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาใช้ ซึ่งคนกรุงเทพฯ และปริมลฑล อาจจะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ส่วนน้ำแม่น้ำแม่กลองทั้งหมดก็ไหลลงสะสมในอ่าวไทย ซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญของประเทศ
"ในส่วนคดีแพ่งที่ชาวบ้านคลิตี้ล่างจำนวน 151 รายนำโดยนายยะเสอะ นาสวนสุวรรณ ยื่นฟ้องบริษัทตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2560 ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมพิพากษาให้บริษัทฯและกรรมการชดใช้ค่าเสียหายให้ชาวบ้านทั้ง 151 ราย เป็นเงิน 36,050,000 บาท และให้ดำเนินการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ให้ปราศจากมลพิษ ปัจจุบันบริษัทฯและกรรมการก็ยังไม่ได้ชดใช้ค่าเสียหายและดำเนินการฟื้นฟูลำห้วยตามคำพิพากษาแต่อย่างใด"
น.ส.ชลาลัย นาสวนสุวรรณ ผู้แทนชาวบ้านในคณะกรรมการไตรภาคีเพื่อติดตามการดำเนินโครงการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้จากการปนเปื้อนสารตะกั่ว ซึ่งแต่งตั้งโดยกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่า ชาวบ้านที่เป็นกรรมการต่างหมุนเวียนกันสอบถามขอ TOR หรือข้อกำหนดของผู้ว่าจ้างที่กล่าวถึงขอบเขตและรายละเอียดการฟื้นฟู จากกรมควบคุมมลพิษหลายต่อหลายครั้ง แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยงและยังไม่ได้รับจนปัจจุบัน ทั้งๆ ที่กระบวนการฟื้นฟูเริ่มทยอยดำเนินการมาหลายเดือนแล้ว ทำให้ไม่สามารถติดตามการดำเนินโครงการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้จากการปนเปื้อนสารตะกั่วได้ จนชาวบ้านต่างกังวลว่ากรมควบคุมมลพิษกำลังปกปิดความจริงอะไรหรือไม่
"กรมควบคุมมลพิษได้ว่าจ้างบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) ดำเนินการโครงการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้จากการปนเปื้อนสารตะกั่ว มีระยะเวลาดำเนินการ 1,000 วัน เริ่มสัญญาวันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ใช้เงินดำเนินการเกือบ 600 ล้านบาท โดยดูดตะกอนตะกั่วในลำห้วยคลิตี้บริเวณหมู่บ้านคลิตี้บน ระยะทาง 1.98 กิโลเมตร และบริเวณหมู่บ้านคลิตี้ล่าง ระยะทาง 4.4 กิโลเมตร"
ส่วนนายกำธร ศรีสุวรรณมาลา ผู้แทนชาวบ้านอีกคนในคณะกรรมการไตรภาคีเพื่อติดตามการดำเนินโครงการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้จากการปนเปื้อนสารตะกั่วกล่าวว่า เมื่อตนขอเข้าไปตรวจสอบกระบวนการฟื้นฟูในพื้นที่ก็มักได้รับการกีดกัน ด้วยข้ออ้างที่ว่าเพื่อความปลอดภัย การกีดกันดังกล่าวทำให้ยากที่ชาวบ้านจะดำเนินการติดตามตรวจสอบการฟื้นฟูว่าเป็นไปตามข้อตกลงสามฝ่าย และเพื่อให้แน่ใจได้ว่าการฟื้นฟูจะเป็นการแก้ไขปัญหาไม่เป็นการสร้างปัญหาใหม่เพิ่มจากปัญหาเดิม
นายวิจิตร อรุณศรีสุวรรณ ชาวบ้านคลิตี้ล่างเล่าว่า เดิมกรมควบคุมมลพิษแจ้งกับชาวบ้านว่าจะมีการขุดลอกเอาตะกั่วที่ปนเปื้อนอยู่ตามพื้นดินออก แล้วจึงปูทับด้วยหินลูกรังจากนั้นจึงนำดินมาปิดทับอีกครั้ง แต่การดำเนินการช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กลับไม่มีการขุดลอกดินปนเปื้อนตะกั่วออกเลย โดยมีเพียงการนำหินลูกรังมาปิดทับเท่านั้น ซึ่งเป็นการดำเนินการไม่ตรงกับที่เคยชี้แจงกันชาวบ้าน การทำอย่างนี้ไม่น่าจะเป็นการฟื้นฟูเพราะตะกั่วก็ยังอยู่เช่นเดิม ไม่มีการนำออกไปกำจัด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี