"...ผมจบการศึกษา ป.7 ตอนอายุ 15 ปี ก็มาทำงานที่อู่ศรีบริการ อยู่ได้ประมาณ 9 เดือนคุณลุงเฉลียว อยู่วิทยา กับคุณป้านกเล็ก สดสี ซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ ของแม่ผมชื่อแม่สุขศรี และป้านกเล็ก ก็เป็นป้าแท้ๆ ของผมก็มาชวนผมไปทำงานเปิดโรงงานผลิตเครื่องดื่มกระแทง ซึ่งการผลิตกระทิงแดงครั้งแรกๆ ผมจะเป็นคนผสมเองกับมือ และร่วมวางแผนขายจนกลายมาเป็นกระทิงแดงมาทุกวันนี้..."
นายณัฐดนัย กุตนันท์ หรือลุงน้อย ชื่อเดิมคือนายวิชัย กุตนันท์ อายุ 72 ปี กล่าวเปิดประเด็นกับทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันเขาได้หันมาเอาดีทางด้านการเกษตร ทำสวนมะนาว มะม่วง มะยงชิด ฯลฯ บนเนื้อที่กว่า 30 ไร่อยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร และทำ "ปุ๋ยน้ำหมักจุลินทรีย์ลุงน้อย" ขายให้กับเกษตรกรด้วยกันในราคาถูก แต่ก็ได้ผลเกินคาด เนื่องจากหากใครใช้ "ปุ๋ยน้ำหมักจุลินทรีย์ลุงน้อย" แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงอีก หมดปัญหาเรื่องดินเสีย ไม่มีผลกระทบต่อสัตว์เลี้ยง เป็ด ไก่ รวมทั้งสัตว์ทุกชนิดด้วย ที่สำคัญคือข้าวปลอดสารพิษ
ทำไมนายณัฐดนัย กุตนันท์ หรือ ลุงน้อย จึงได้หันเหชีวิตมาทำงานด้านการเกษตร ทั้งที่ในอดีตลุงน้อย ถือได้ว่าเคยมีหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในบริษัทที่ผลิตกระทิงแดงมาก่อนด้วย แล้วหุ้นของลุงน้อย นั้นหายไปไหน ทำไมถึงไม่ร่ำรวยเงินทองตามรอยลุงเฉลียว และป้านกน้อย รวมทั้งลูกๆ ของคุณเฉลี่ยว แล้วทำไมลุงน้อย ถึงได้ออกมาเร่ร่อนทำงานไปทั่วจนเกือบจะเอาตัวเองไม่รอดจากการเป็นหนี้ธนาคาร บ้านเกือบโดดยึด ???
เมื่อเรายิงคำถามนี้ออกไป นายณัฐดนัย กุตนันท์ หรือ ลุงน้อย นั่งซึมอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหายใจลึกๆ เข้าปอดแล้วผ่อนลมหายใจออกมา พร้อมเปิดใจกับทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์อย่างตรงไปตรงมา
ลุงน้อย เล่าว่า ...เดิมผมเป็นเด็กบ้านนอก อยู่ที่จังหวัดพิจิตร มีอาชีพทำไร่ทำนาอยู่กับพ่อแม่ พอเรียนจบชั้น ป.7 ก็เดินทางด้วยรถไฟมาหางานทำ โดยได้เข้าทำงานครั้งแรกที่อู่ศรีบริการ จังหวัดนครปฐม ทำอยู่ได้ประมาณ 9 เดือนคุณลุงเฉลียว อยู่วิทยา กับคุณป้านกเล็ก สดสี ซึ่งเป็นภรรยาของคุณลุงเฉลี่ยว เป็นพี่สาวของแม่ผม และเป็นป้าแท้ๆ ของผมได้มาชวนผมไปทำงานด้วย ตอนแรกๆ ผมไม่ไป จนได้มีการมาตามตัวผมอยู่หลายครั้งให้ไปช่วยงานคุณลุงเฉลี่ยว จนในที่สุดผมตัดสินใจไป ซึ่งช่วงนั้นประมาณปี 2501-2503
เมื่อมาอยู่กับคุณลุงเฉลี่ยว อยู่วิทยา แล้ว เริ่มแรกก็ทำบริษัทยาก่อน โดยเริ่มต้นจากการนับเม็ดยาใส่หลอดพลาสติดเล็กๆ และพันเทปใส่สำลี และปิดฝาไปส่งหมอตามโรงพยาบาลต่างๆ จากนั้นตอนเย็นก็นำยาใส่รถแท็กซี่ออสตินคันเล็กๆ และเก่าๆ ไปตระเวนส่งให้หมอที่เปิดออฟฟิศ (คลีนิก) ของตัวเองเป็นหมอรักษาคนไข้ทั่วไป
ทำได้สักพักจนปี 2504 คุณลุงเฉลียว ก็มีความคิดที่จะเปิดโรงงานชื่อบริษัททีซีฟาร์มาซูติคอลฯ อยู่ในซอบรามบุตรี จากนั้นก็เริ่มสั่งตัวยาจากเมืองจีนเข้ามา โดยนำตัวยาเตตร้าไซคลินไฮโดรคลอไรด์ เข้ามาเพื่อจะเอามาทำยาทีซีมัยซิน เดิมใช้ชื่อ "โอมัยซิน" แต่ถูกบริษัทบางกอกสวิตฯ ฟ้องว่าชื่อนี้ใช้ไม่ได้ เพราะมันคล้ายและมีชื่อพ้องกับ "โอริโอมัยซิน" ของเขา จึงเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "ทีซีมัยซิน" จากนั้นก็สั่งเครื่องพิมพ์ทำแคปซูลจากประเทศอิตาลีเข้ามา หลังจากนั้นบริษัทได้ขยายกิจการจนเติบโตขึ้น จึงได้มีการขยับขยายมาที่ "ตรอกเสถียร" ก่อนนี้เรียกว่า "ตรอกสาเก" หลังโรงแรมรอยัล
จนกระทั่งปี 2514 เริ่มไปสร้างโรงงานที่เขตบางบอน โดยคุณลุงเฉลี่ยว ให้ผมไปทำเองอยู่คนเดียวทุกอย่าง แม้กระทั่งเดินสายไฟโรงงาน ขุดสระทำน้ำทิ้ง 5 บ่อ เพื่อปล่อยน้ำทิ้งจากโรงงานมาลงสระเลี้ยงปลานิล ปลาหมอด้วย โดยคุณลุงเฉลียว จะสั่งว่า ต้องทำอย่างนี้ อย่างนั้น ผมก็ทำตาม ซึ่งตอนนั้นมีผม คุณลุงเฉลียว และเภสัชกรชื่อสุภรณ์ ถาวรเศรษฐ์ (น้องธิดา ถาวรเศรษฐ์) ที่ร่วมแรงกันทำ เพราะตอนนั้นลูกๆ ของคุณลุงเฉลียว กับป้านกเล็ก ยังเล็กอยู่
"ต่อมาคุณลุงเฉลี่ยว ให้ผมกับเภสัชกรสุพร มาคิดค้นทำเครื่องดื่มชูกำลังขึ้นมา เราก็คิดและทดลองทำแบบลองผิดลองถูกกันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2517 โดยผมได้ดัดแปลงเครื่องทำขวดไกด์วอเตอร์เบบี้ดอล จากขวดสี่เหลี่ยมแบน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ปีจึงดัดแปลงเครื่องสำเร็จมาเป็นขวดสี่เหลี่ยมกระทิงแดงอย่างที่เห็นในวันนี้ ครั้งนั้นผมได้เงินตอบแทน 2,000 บาทต่อเดือน"
ส่วนสูตรกระทิงแดงนั้นเอามาจากเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่ง (ของสงวนชื่อยี่ห้อ) ของบริษัทจากญี่ปุ่น ที่มีการนำเข้ามาขายในประเทศไทย ซึ่งเป็นขวดสี่เหลี่ยมเล็กๆ ขนาด 100 ซีซี เราก็เอามาเป็นต้นแบบในการถอดสูตร ซึ่งตอนนั้นมีคาเฟอีน 100 มิลลิกรัม จนกระทั่งปี 2518 ก็ผลิตเครื่องกระทิงแดงออกมาแจกให้ทดลองดื่มกัน และได้จดทะเบียนปี 2522 โดยได้มีการเปิดตัวแนะนำสินค้าครั้งแรกที่งานคอนเสริต์ "เดอะซาวด์ ออฟ มิวสิค" ที่ท้องฟ้าจำลองช่วงปี 2520 ซึ่งต่อมาเครื่องดื่มชูกำลังได้ลดปริมาณคาเฟอีนลงเหลือ 70 มิลลิกรัม และ 50 มิลลิกรัมตามลำดับ
คุณณัฐดนัย หรือลุงน้อย ได้เล่าย้อนหลังให้ฟังถึงที่มาชื่อแบรนด์ "กระทิงแดง" ว่า "ผมและคุณเฉลียว คุณสุพร มาช่วยกันคิด 3-4 คนว่าจะใช้ชื่ออะไรกันดี ซึ่ง "พี่ปื๊ด" บอกว่า "หน่วยกระทิงแดงของ-สุดสาย หัสดิน ณ อยุธยา" โดยคุณสุดสาย จะมาขอทำเสื้อหน่วยกระทิงแดง...พูดแล้วตอนนี้ผมยังขนลุกอยู่เลย เนื่องจากผมตกใจที่จะใช้ชื่อนี้กัน จนกระทั่งได้ข้อสรุปว่าจะใช้ชื่อ "กระทิงแดง" ซึ่งตอนนั้นโลโก้เป็นรูปกระทิงยืนชูหัวขึ้น แต่คุณลุงเฉลียว เปลี่ยนมาเป็นกระทิงหันหัวมาชนกัน หลังจากที่พวกเราช่วยกันลองชิมรสชาติจนเป็นที่พอใจแล้ว ผมและเมียเป็นคนแรกที่เอากระทิงแดงไปขายในกรุงเทพฯ ตอนแกรๆ ขายไม่ออก ไม่มีใครสนใจ เราเอาไปเสนอขายทีไหนก็โดนไล่ออกมาตลอด
เมื่อไม่สามารถขายได้ พวกเราก็มาเลยมาคิดหาวิธีใหม่ จนกระทั่งเกิดไอเดียขึ้น... "เอ๊ะ!!สิบล้อต้องรอสิบโมง" ผมก็เลยเอาถังน้ำแข็งใส่ท้ายรถแล้วเอากระทิงแดงแช่น้ำแข็งไปแจกรถสิบล้อทั้ง 4 สายที่นครปฐม ทั้งสายเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก ที่ตั้งจุดจากบางแค ถึง นครชัยศรี จังหวัดนครปฐม มีรถสิบล้อคันไหนวิ่งผ่านมาแจกหมด แจกฟรี แจกทุกคัน ตอนนั้นแจกวันละเป็นพันขวดต่อเนื่องกันหลายวันมาก โดยรถที่แจกกระทิงแดงนั้นข้างรถด้านหนึ่งเขียนว่า "กระทิงแดง" และอีกข้างของรถเขียนว่า "เรดบลู" ส่วนน้องชายผมก็ทำหน่วยหนังขายยาอยู่ 12 หน่วยก็ช่วยเอาไปแจกด้วย ตอนหลังจากที่เราทำยาขายก็เปลี่ยนมาเป็นผลิตกระทิงแดงทั้งหมด
นอกจากนี้มี "ลุงโกร่ง กางเกงแดง" ได้มาทำให้คนรู้จักกระทิงแดงกินผสมเหล้าขาว ยิ่งทำให้กระทิงแดงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากขึ้น
ต่อมาคุณลุงเฉลียว ได้ส่งผมไปดูเครื่องผลิตที่เมืองฮิบบรู ประเทศเยอรมัน และเมืองคันนาซาว่า ประเทศญี่ปุ่น โดยตอนที่ไปอยู่ญี่ปุ่นทำเครื่องผลิตเราก็วางแผนว่าจะเอาเครื่องมาตั้งที่โรงงานเมืองไทยได้แบบไหน เราจึงมีการออกแบบแปลนโรงงานไปพร้อมกับทำเครื่องไปคราวเดียวกัน ส่วนโรงงานที่เมืองไทยก็เทพื้นคอนกรีตและตั้งเสาเอาไว้ ยังไม่ทำอะไรทั้งนั้น รอเอาเครื่องมาตั้งก่อน ตอนนั้นผมไปอยู่ญี่ปุ่นประมาณ 7 เดือน จากนั้นครั้งแรกก็เอาเครื่องล้างขวดขนาด 100 ซีซี ล้างขวดได้ 300 ขวดต่อนาทีมา ครั้งที่สองไปที่ชิบูย่า ประเทศญี่ปุ่น เอาเครื่องล้างขวดขนาด 150 ซีซีมา 3 เครื่อง
สำหรับสูตรเครื่องดื่มกระทิงแดงนั้นครั้งแรกมาจากคุณสุภรณ์ ซึ่งเป็นคนรู้สูตร จึงจดสูตรส่งให้ผมผสมเป็นคนผสม ผมจึงลงมือผสมกับมือของผมเองมาตั้งแต่ตอนแรกๆ จึงทำให้ผมได้เรียนรู้สูตรไปในตัว แต่ผมไม่เคยทรยศไปทำแข่งกับเขาทั้งๆ ที่มีโรงงานอยู่ เพราะคุณป้านกเล็ก สั่งไว้ว่า "มึงห้ามทำอะไรก่อนกูตายนะ" ผมก็ไม่ทำ ส่วนคุณลุงเฉลียว ต่อมาเมื่อปี 2522 ก็บอกว่า "กูเปิดหุ้นไว้ให้มึงแล้วนะ" ซึ่งเบอร์หุ้นผมตอนนี้ก็ยังมีอยู่แล้ว แต่ผมไม่เคยเห็นหุ้น จนกระทั่งปี 2527 ผมได้ลาออกจากบริษัท ส่วนสาเหตุที่ผมลาออกนั้น เพราะมีปัญหาหยุมหยิมที่ไม่เข้าใจกัน
"หลังจากลาออกมาไม่นานก็มีหนังสือแจ้งมาให้ผมขายหุ้นคืนให้บริษัท แต่ผมไม่ได้ขาย และทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ได้ขายหุ้นคืนให้บริษัท ตอนนี้ใบหุ้นก็ยังอยู่ที่ผมเลย แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เพราะมีการเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว"
คุณณัฐดนัย หรือลุงน้อย เล่าต่อว่า หลังจากลาออกแล้วผมก็ไปอยู่สหรัฐอเมริกาได้ประมาณ 10 ปี โดยผมไปทำงานทุกอย่างทั้งแฮนดี้แมน ซ่อมรถ ก่อนจะกลับเมืองไทยมาทำงานกับเฟเมตเอ็นจิเนียริ่ง ซึ่งรับสร้างโรงงานผลิตยา อยู่ที่บางปะอิน จังหวัดปทุมธานี โดยผมทำห้องคลีนรูม ผลิตชิ้นส่วนอีเล็คโทนิคส์ ผลิตเครื่องแล็บห้องยา
ทำอยู่กับเฟเมตเอ็นจิเนียริ่ง ได้ระยะหนึ่ง ผมก็ลาออกไปอยู่ที่เวียดนาม ทำเครื่องดื่ม เรดไรโน่ แรดแดง และทำโรงงานยาให้กับบริษัทไทยนครพัฒนาด้วย เป็นเวลานาน 8 ปีโดยได้รับเงินเดือน 40,000 บาทกลับมาเมืองไทยได้ 2 ครั้งต่อเดือน แต่ด้วยความที่ผมไม่มีใบรับรองการันตี ไม่มีวุฒิทางการศึกษา จึงทำให้ไม่ได้รับเงินตามที่เสนอว่าจะให้ได้ ประกอบกับต่อมาก็มีเภสัชกร มาทำงานประจำที่นี้แล้ว ผมก็เลยลาออกกลับมาที่เมืองไทย
ต่อมาคุณนายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ได้โทรศัพท์ไปหาผมเพื่อให้มาทำเครื่องดื่มชูกำลัง "คาราบาวแดง" โดยคุณเสถียร บอกให้ผมมาช่วยออกแบบและคุมการก่อสร้างโรงงาน รวมทั้งเอาเครื่องมาลง ส่วนคุณสุภรณ์ ถาวรเศรษฐ์ เป็นคนมาทำสูตรเครื่องดื่ม ผมทำงานอยู่ได้ 3 ปีได้ค่าแรง 5-6 หมื่นบาทต่อเดือน จนมาปี 2547 ผมจึงได้ลาออก ตอนที่ผมออกมายังไม่เติบโตอะไรมากนัก แต่ตอนนั้นก็มียอดขายเดือนละล้านขวดแล้ว ส่วนสาเหตุที่ลาออกก็ไม่มีอะไร ผมอยากลาออกเอง
ต่อมาผมได้ไปทำงานกับบริษัทผลิตเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่ง (ขอสงวนชื่อยี่ห้อ) โดยเอาสูตรจากผมที่เรียนรู้มาจากการทำเครื่องดื่มชูกำลังก่อนหน้านี้มาทำให้ ซึ่งผมทำงานด้วยตั้งแต่เริ่มถมที่ดิน จนตอกเสาเข็มช่วงปี 2550 ได้เงินเดือน 5 หมื่นบาท ส่วนเหตุผลที่ลาออกเพราะเขาจะให้ผมผลิตออกมาเลย 40 ล้านขวด ซึ่งผมไม่เห็นด้วยเนื่องจากเห็นว่าการที่จะะปล่อยสินค้าในคราวเดียวให้หมด 40 ล้านขวดมันเป็นไปไม่ได้
นอกจากนี้เป็นปัญหาว่าจะต้องลงทุนขวด ซึ่งผมไปเอาขวดมาจากประเทศจาการ์ต้า โดยผ่านบริษัทฝาจีบ แต่ฝ่ายขายยืนยันว่าต้องมี 40 ล้านขวด ผมก็เลยเขียนหนังสือสัญญาว่า ถ้า 40 ล้านขวดสินค้ามีวันหมดอายุและถ้าขายไม่หมดจะไม่รับผิดชอบ เพราะผมบอกว่าให้ผลิตแค่ 10 ล้านขวดและให้วางตลาด 5 ล้านขวด เหลือไว้ในสต๊อก 5 ล้านขวด ซึ่งเจ้าของเค้าไม่เชื่อผม แต่ไปเชื่อฝ่ายขายก็เลยออกมาไม่อยากทำด้วยแล้ว
"พอผมออกมาของก็มีปัญหาจริงๆ ทั้งของค้างสต๊อกเหลือหลายล้านขวดต้องเอามาเปิดทิ้ง ซึ่งต้องเสียภาษีฝาขวด ขวดและน้ำยาเสียทิ้งหมด ซึ่งเครื่องดื่มชูกำลังมีอายุนับจากวันผลิตถึงเปิดดื่มเต็มที่แค่ 2 ปีเท่านั้น"
หลังจากนั้นผมก็ไปอยู่บริษัทผลิตเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อหนึ่ง (ขอสงวนชื่อยี่ห้อ) ที่จังหวัดนครปฐม ตอนนั้นผมทำโรงงานอย่างเดียว ส่วนสูตรเครื่องดื่มนั้นทางบริษัทบอกว่าจะซื้อสูตรจากผม แต่มีข้อแม้จะต้องมีการทดลองกันก่อน จนกระทั่งมีการผลิตทดลองสูตรออกมาได้สักระยะหนึ่ง ทางบริษัทก็บอกผมว่า ขอปิดโรงงานชั่วคราว แต่ต่อมาประมาณ 4-5 เดือนเขาก็เปิดโรงงานใหม่ แต่ผมออกมาแล้ว ก็ทำให้ผมเสียประโยชน์อีกจากสูตรเครื่องดื่มที่บอกว่าจะซื้อจากผม
ต่อมาปี 2553 ผมไปประเทศลาว ครั้งนี้ไปอยู่ 3 ปีไปเจอ ดร.สุชาติ อุทัยวัตร จบจากเยอรมัน มีความสนิทสนมกับพ่อ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ทำเสาส่งสัญญาณสถานีวิทยุฯ ขายให้เวียดนาม ลาว เขมร รวมทั้งไทยด้วย ส่วนผมไปทำเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อ "ม้าแดง" ตอนนั้นตกลงกันว่าผมมีสูตร "เจ๊ ม.(ขอสงวนชื่อจริง" ชาวลาวที่มีกิจการโรงเลื่อยและมีธุรกิจใหญ่โตในประเทศลาวเป็นเจ้าของที่ตั้งโรงงาน
ส่วน "ดร.สุชาติ" เอาเงินไปลงทุนเครื่องจักรทุกอย่าง แล้วผมเขาให้ผลตอบแทน 25% ส่วน "ดร. สุชาติ" กับ "เจ๊ ม." จะได้ 75% เขาจะแบ่งกันครึ่งๆ เท่ากัน ครั้งนั้นผมเอาเครื่องจักรไปลงเสร็จหมดแล้ว และกำลังจะเริ่มผลิต ปรากฏว่า ทั้ง 2 คนมีปัญหาไม่เข้าใจกันจึงต้องยกเลิกไป ทำให้ผมต้องไปเอาเครื่องออกจากโรงงานมาไว้ที่เมืองไทย
"ช่วงนั้นผมเริ่มมีปัญหาทางการเงิน ตึก 3 ชั้น 21 ห้องและห้องแถวของผมอำเภอมหาชัย กำลังจะถูกธนาคารยึด ก็เลยคิดว่าทำเองดีกว่า แต่ว่าไม่มีเงินจะทำ เนื่องจากช่วงนั้นเริ่มหมดตัวแล้ว ช่วงนี้เองทำให้ผมต้องคิดหนักเนื่องจากมีปัญหาทางการเงิน จนมาวันหนึ่งผมตัดสินใจขับรถไปจังหวัดพิจิตรเพื่อเอาโฉนดที่ดินไปให้ ดร.สุชาติ เพื่อเอาเงินมาใช้"
"แต่ด้วยความไม่ค่อยมีสติเนื่องจากประสบปัญหาในชีวิตอย่างมากมาย ทำให้ระหว่างทางไปขับรถตัดหน้าเขาและรถเขากระแทกท้ายรถผม เขาเรียกเงินค่าเสียหาย 12,000 บาท ขณะที่ในกระเป๋าผมมีเงินอยู่ 15,.000 บาท จึงจ่ายเขาไป 12,000 บาท ทำให้ผมเหลือเงินติดตัวแค่ 3,000 บาท เป็นช่วงเดียวกับที่อาจารย์หมอดู ท่านหนึ่งที่มหาชัย ได้โทรศัพท์มาหาผมช่วงเวลานั้นพอดี แล้วบอกให้มาหาด่วน บอกว่าผมกำลังมีเคราะห์ ผมจึงตัดสินใจไปหา จากนั้นก็ทำพิธีสะเดาะห์ให้ผม ซึ่งที่ผ่านมาผมไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้มาก่อน ครั้งนี้ก็เลยลองเชื่อดูบ้างคงไม่เสียหายอะไร"
"จากนั้นอาจารย์หมอดู ก็เริ่มทำพิธีให้ พร้อมกับบอกว่าภายใน 30 วันจะมีคนมาลงทุนทำโรงงานให้ ตอนนั้นผมไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ยังไง แต่ปรากฏว่าไม่ถึง 7 วันมีนายกองค์การบริหารส่วนตำบลคนหนึ่งมาจากจังหวัดปทุมธานี มาหาบอกว่าจะขอซื้อสูตรเครื่องดื่มและทำโรงงาน ผมจึงรับปากเขาว่าจะขายให้ จากนั้นเขาก็ให้ช่างมาออกแบบทำรั้วสังกะสีล้อมรอบพื้นที่ 45 ตารางวา เทพื้นคอนกรีต และทำท่อน้ำทิ้ง ซึ่งที่นั้นอยู่ในที่ของผม ปรากฎว่ายังไม่ทันเสร็จดีเขาก็หายหน้าไปเลย โดยไม่ทราบว่าไปไหน"
"จากนั้นก็มีคนที่ 2 มาอีก คราวนี้บอกว่าจะมาทำเครื่องดื่มเหมือนกัน โดยจะเอาที่เดิมที่สร้างแล้วยังไม่เสร็จ โดยเอาเงินมาให้ทำต่อเติมจนสร้างโรงงานเสร็จแล้วก็หายไปไปอีกคนไม่รู้ว่าหายไปไหน"
"ต่อมาคนที่ 3 มาหาบอกจะซื้อสูตร ผมก็สุดๆ แล้วเลยบอกว่าจะขาย 2,500,000 บาท เอาสูตรไปเลย แต่เขาบอกว่าวันนี้มีเงินไม่พอ แต่จะเขียนให้ก่อน 7 แสนบาท ต่อมาผมเอาเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กเจียง ตอนแรกคิดว่าคงไม่ได้เงิน แต่ปรากฎว่าเมื่อขึ้นเช็คแล้วได้เงินจริงๆ ผมจึงเอาเงินไปซื้อเครื่องมือ ตู้อบ 3-4 แสนบาท ซึ่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยปี 2553 ผมก็ทำเรื่องยื่นจดทะเบียนเปิดโรงงานจาก อย.ทำน้ำเบอร์รี่ออกขายได้ประมาณ 1 ปี"
"แต่ปรากฏว่าโชคไม่เข้าข้างอีกเนื่องจากปี 2554 เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ทำให้โรงงานได้รับความเสียหาย ไม่สามารถผลิตเครื่องดื่มออกมาขายได้ จนกระทั่งกลางปี 2555 พอทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติผมก็หันมารับจ้างผลิตเครื่องดื่มสมุนไพร "มังกรแดง มังกรทอง" นับจากวันนั้นเป็นต้นมาชีวิตผมก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆ ต่อมาผมได้ยกโรงงานผลิตเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นโรงงานเล็กๆ อยู่ที่กระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ให้กับลูกชายอีกคนดูแล ทำการบริหาร ส่วนผมก็เดินทางกลับบ้านเกิดที่จังหวัดพิจิตร"
ลุงน้อย บอกอีกว่า เมื่อมาอยู่ที่พิจิตรตนก็ได้ผลิตเครื่องดื่มออกมาอีกหลายชนิด แต่คราวนี้ทำขายเองบ้าง มีคนจ้างให้ทำบ้าง โดยนั่งคิดสูตรอยู่ที่บ้านพิจิตรแล้วส่งมาให้ลูกชายมาผสมที่โรงงานกระทุ่มแบน ส่วนตนเองเมื่ออยู่ว่างๆ กับสวนผลไม้ก็เลยคิดสูตร "ปุ๋ยน้ำหมักจุลินทรีย์ลุงน้อย" ขึ้นมา ตอนแรกๆ ก็ทดลองทำกับสวนและนาข้าวของตนเองและเพื่อนบ้านไปก่อนจนกระทั่งประสบความสำเร็จ ตอนนี้ก็เลยขยายการทำ "ปุ๋ยน้ำหมักจุลินทรีย์ลุงน้อย" เพิ่มมากขึ้นจนเริ่มได้รับความสนใจจากผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ลงไปดูถึงในพื้นที่และมีการทดลองกัน ซึ่งตอนนี้เริ่มเป้นที่รู้จักกันกว้างขวางมากขึ้นแล้ว
"ปุ๋ยน้ำหมักจุลินทรีย์ของผมถ้าใช้แล้วไม่ต้องซื้อยาฆ่าแมลงมาฉีด หมดปัญหาเรื่องดินเสีย ที่สำคัญข้าวปลอดสารพิษ ซึ่งผมจะช่วยชาวนาให้เขาทดลองเอาไปใช้ก่อนในราคาลิตรละ 7 บาทโดยผมลงทุนให้ก่อน เมื่อชาวนาขายข้าวได้แล้วค่อยเอาเงินมาให้ ส่วนปริมาณปุ๋ยที่ใช้แค่ 10 ลิตรต่อไร่ เท่ากับว่าซื้อปุ๋ยราคา 70 บาทต่อไร่เท่านั้น และชาวนาสามารถฉีดเองได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วย ซึ่งตอนนี้ปุ๋ยผมกำลังได้รับความนิยมในพื้นที่ แต่กว่าที่ผมจะได้ปุ๋ยสูตรนี้มา ผมทดลองมานานถึง 7 ปีและใช้เงินไปร่วม 5 ล้านบาท ซึ่งต่อไปเรื่องปุ่ยนี้ผมจะให้ลูกชายของผมอีกคนดูแล" ลุงน้อย กล่าว
พร้อมกับกล่าวต่อว่า "ชีวิตผมเผชิญมาเกือบทุกสถานการณ์ทั้งโดนใช้ให้ทำโน้นทำนี่ จนในที่สุดเขาก็ไม่จริงใจต่อเรา จนเราแทบจะเอาตัวไม่รอด แต่สิ่งต่างๆ ที่เราพบเจอมานั้นมันก็คือบทเรียนชีวิต และเป็นประสบการณ์ในชีวิตที่ทำให้เราได้ความรู้ แม้ว่าจะผิดพลาดถูกเขาใช้ให้ทำ และไม่ได้รับความจริงใจจากเขา แต่ก็ทำให้เรามีความชำนาญสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เราสามารถทำอะไรอย่างทุกวันนี้ได้ แม้แต่คนระดับดอกเตอร์ยังทำไม่ได้อย่างผมเลย
"ผมจบแค่ ป.7 ผมพูดภาษาอังกฤษได้ มีความรู้สามารถที่จะประกอบเครื่องผลิตเครื่องดื่มได้ วางแผนสร้างโรงงานได้ คิดสูตรเครื่องดื่มต่างๆ ได้ แม้กระทั่งการคิดค้นสูตรปุ๋ยน้ำหมักจุลินทรีย์ ทั้งๆ ที่ชีวิตผมเริ่มมาจากเด็กอู่ซ่อมรถยนต์เท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้ผมทำอะได้ทุกอย่างก็เพราะผมเป็นคนรักจำ"
"ถ้าผมมีใบปริญญาเป็นเครื่องหมายการันตีเหมือนคนอื่น ผมคงไม่ต้องลาออกจากงานบ่อยๆ เปลี่ยนงานไปเปลี่ยนงานมา และชีวิตผมคงไม่อยู่แค่นี่แน่ แต่อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเราก็ต้องยอมรับในเรื่องของผลแห่งชะตาชีวิต ซึ่งมันเป็นผลแห่งกรรมที่เคยมีมาแต่ในอดีตชาติ ตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ไม่มีใครหนีพ้นเรื่องของกรรมไปได้เลยสักคน"
"ทุกวันนี้ชีวิตผมอยู่กับสวน เช้าตื่นมาเดินชมสวนให้น้ำใส่ปุ๋ยน้ำหมักจุลินทรีย์ที่ผมผลิต เดินดูผลไม้ที่ผมปลูกเมื่อได้ผลผลิตก็นำมันออกไปขายแบ่งปันเพื่อนบ้านกิน โดยยึดหลัก "เศรษฐกิจพอเพียง" อยู่ที่บ้านจังหวัดพิจิตรก็สบายดีแล้วครับ....." นายณัฐดนัย กุตนันท์ หรือลุงน้อย กล่าวทิ้งท้ายก่อนที่จะพาทีมข่าวเดินชมสวนมะนาว มะยงชิด รวมทั้งผลไม้ชนิดต่างๆ อีกมากมายที่ลุงน้อย ปลูกไว้ในสวน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี