ถือว่าเป็น “เรื่องใหญ่” ของสังคมไทยจริงๆ กับ “หวย” หรือสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยเฉพาะการ “ขายเกินราคา” เพราะแม้ทาง “กองสลาก” สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จะบอกว่า “ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ใบละ 70.40 บาท” แต่เมื่อไปถาม “ผู้ค้ารายย่อย” ก็จะได้รับคำตอบว่า “รับมาก็ใบละ 78-79 บาทแล้ว จะให้ขาย 80 บาทได้อย่างไร” สะท้อนปัญหา “ยี่ปั๊ว-ซาปั๊ว” ที่รัฐบาลทั้งนักการเมืองเลือกตั้งและเผด็จการทหารไม่สามารถแก้ไขได้
ล่าสุดเป็นที่ฮือฮาอีกครั้ง กับการเปิดเผยของ พ.ต.อ.บุญส่ง จันทร์ศรี รองผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เมื่อ 17 เม.ย. 2561 ว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบ (ร่าง) พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยเนื้อหาเป็นการ “แก้ไข” กฎหมายเดิมคือ พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 สาระสำคัญประการหนึ่งคือ “เพิ่มโทษคนขายหวยเกินราคา” ให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท จากเดิมกำหนดโทษปรับอย่างเดียวไม่เกิน 2,000 บาท
แต่ที่ต้อง “จับตามอง” เพราะในร่างกฎหมายฉบับนี้ยัง “เปิดทาง” ให้กองสลากสามารถ “พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ” หลากหลายรูปแบบ อาทิ “หวยออนไลน์” ขายผ่านเครื่อง แต่ก็ต้องให้กองสลากไปพิจารณาผลกระทบอย่างรอบด้าน ซึ่งนักวิชาการผู้คลุกคลีกับปัญหาสลากกินแบ่งมายาวนาน รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว “แนวหน้า” ว่าเท่าที่ทราบคือทางกองสลากกำลังแก้ไขในส่วนแบ่งกำไรให้ผู้ค้ารายย่อยได้รับมากขึ้น ดังนั้น เมื่อได้ประโยชน์เพิ่มก็ควรมีโทษกรณีทำผิดเพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม “การกำหนดโทษจำคุกไว้นั้นถือว่ารุนแรงเกินไป” โดยส่วนตัวมองว่ามีเพียงโทษปรับก็ถือว่าเพียงพอแล้ว นอกจากนี้จะเห็นได้ว่า “แม้จะมีการจองสลากผ่านธนาคาร แต่ก็ยังได้ยินเสียงสะท้อนจากผู้ค้ารายย่อยว่าจองไม่ทัน” สุดท้ายก็ต้องไปรับมาจากคนกลางในราคาเกือบ 80 บาท ทำให้ต้องมาขายเกินราคาในที่สุด ซึ่งที่เป็นเช่นนั้นเพราะผู้ค้ารายย่อยอย่างไรก็ไม่มีทางจองได้ทันบรรดารายใหญ่ที่มีทุนมาก ด้วยเหตุนี้จึง “เห็นด้วย” หากจะมีการขายสลากผ่านตู้ออนไลน์แทนการขายแบบกระดาษ
เพราะสลากกระดาษนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อ 150 ปีก่อน วันนี้โลกเปลี่ยนไปมากมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้น “หากขายออนไลน์เมื่อใดบรรดารายใหญ่จะหมดข้อได้เปรียบรายย่อยในการเข้าถึงสลากทันที” ส่วนข้อกังวลที่ว่าการขายออนไลน์จะเป็นการทำลายอาชีพขายสลากที่ผู้ค้าจำนวนมากเป็นผู้สูงอายุหรือผู้พิการ เพราะอาจมีการนำตู้ไปตั้งตามร้านสะดวกซื้อทำให้เม็ดเงินไหลเข้าทุนใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งนั้น สามารถเขียนกฎระเบียบควบคุมได้ทั้งหมด
“ถ้าจะทำผมว่าต้องเน้นเรื่องกระจายอาชีพ กระจายรายได้ให้คนมากที่สุด ไม่ควรอยู่ในร้านสะดวกซื้อ เพราะกำไรมันก็จะอยู่กับนายทุนผูกขาดรายใหญ่ และมีการตรวจสอบว่า 1 คน ต้องมีสิทธิ์ได้ 1 ตู้ อย่าให้ทุนใหญ่เอาคนไปจองกันหลายสิบตู้ แล้วถ้าพบว่าพยายามเข้ามาผูกขาดก็ต้องลงโทษตามกฎหมาย เราสามารถกำหนดระเบียบได้ว่าจะให้คนพิการ หรือกลุ่มเกษตรกรยากจน กี่เปอร์เซ็นต์ของจำนวนเครื่องที่เขาควรได้รับไป แล้วไม่ให้คนที่มีทุนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง ต้องทำให้คนที่มีรายได้น้อยมีโอกาสน้อยในสังคมได้เป็นเจ้าของตู้” อาจารย์สังศิต กล่าว
ขณะที่นักวิชาการผู้ศึกษาปัญหาด้านการพนัน รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า แม้กองสลากจะใช้สารพัดวิธีด้วยหวังจะแก้ปัญหาการขายสลากเกินราคา แต่ที่ผ่านมา “ล้มเหลว” เพราะผู้ที่เกี่ยวข้อง “ไม่ทำให้ทั่วถึงทั้งระบบ” เช่น การให้โควตาสลากกับองค์การสาธารณกุศลต่างๆ “องค์กรหรือบุคคลดังกล่าวขายสลากจริงไหม?” หรือให้ผู้อื่นนำไปขายต่อ “เคยตรวจสอบบ้างหรือไม่?” เช่นเดียวกับการจองสลากผ่านธนาคาร ก็ทราบว่ามีการ “จ้างใครก็ได้มาจอง” สลากก็จะไปกระจุกตัว
“มันต้องจัดการเรื่องขึ้นทะเบียนก่อน ในต่างประเทศใครจะขายสลากต้องขึ้นทะเบียน เมื่อขึ้นทะเบียนแล้วจะมาจองสลากแทนกันก็ทำไม่ได้ คนที่ขึ้นทะเบียนก็จะมีป้ายมีบัตรประจำตัว ถามว่าผู้ค้าสลากทุกวันนี้ใครมีป้ายมีบัตรบ้าง? ไม่เช่นนั้นก็จะมีคนประเภทที่มาจองเอง แต่จองแล้วก็ขายต่อทันที เพราะตอนหลังที่มันเกิดการรวมสลากชุด ก็ขายไปเลย 80 บาท พวกที่ซื้อต่อก็เอาไปรวมชุดแล้วก็ขึ้นราคาจะ 85 บาทหรืออะไรก็แล้วแต่” อาจารย์นวลน้อย ระบุ
อาจารย์นวลน้อย ยังกล่าวถึงวิธีแก้ปัญหาของกองสลาก ด้วยการ “พิมพ์สลากออกมามากๆ” ด้วยหวังว่าเมื่อมีสินค้ามากๆ แล้วราคาจะลงมาเอง แต่เอาเข้าจริงก็แก้ไม่ได้เพราะ “คนยังหวังในการรวมชุด” ด้วยเห็นจากข่าวว่า “ถ้าถูกหวยขึ้นมาทีหนึ่งได้เงินเป็นสิบล้านบาท” ดังนั้นหากเลขไหนที่เป็น “เลขเด็ด” คนตามหากันมาก มีความต้องการในตลาดมาก ราคาก็ยังพุ่งสูงขึ้นอยู่ดี
และแม้ต่อให้กองสลากจะพิมพ์สลากรวมชุดออกมาขายเอง แต่หากไม่คุมคนกลางอย่างจริงจัง ราคาก็คงไม่มีทางลงมาที่ใบละ 80 บาท อยู่ดี “ทุกวันนี้ก็มีกฎห้ามขายสลากเกินใบละ 80 บาท อยู่แล้ว แต่ถามว่าห้ามได้จริงหรือ?” นอกจากนี้การจับกุมผู้กระทำผิดยังเน้น “ปลาเล็กปลาน้อย” พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยเท่านั้น แต่ไม่ค่อยพบเห็นว่าจะมีการ “ขยายผล” ต่อไปถึงต้นตอ ว่าผู้ค้ารายย่อยนั้นรับสลากมาจากที่ใด
“สลากเป็นสินค้าที่มีเลขทะเบียนที่สามารถรู้ได้ว่าใครได้มา แต่ไม่เคยเช็คเลย จะไปจับแต่แม่ค้าที่อยู่ตรงหน้า แต่ไม่ดูว่าสลากมันมาอย่างไร คือไม่มีการเชื่อมโยงไปถึงต้นทาง ทำเพียงแก้ข้อครหาว่าฉันทำแล้วนะ คือถ้ารู้สึกว่ามันเป็นปัญหาก็ตามเลย แก้เลยว่าจะเอาอย่างไร แต่คนส่วนหนึ่งก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา สมยอมกัน แต่จริงๆ มันคือเรื่องของการไม่มีทางเลือก เพราะสลากเป็นสินค้าผูกขาด เวลาสินค้าผูกขาดแล้วขายแพงไม่เรียกสมยอม แต่เรียกไม่มีทางเลือก” อาจารย์นวลน้อย ฝากข้อคิด
สำหรับแนวคิดการเพิ่มโทษผู้ขายสลากเกินราคา รวมถึงการเปิดช่องสู่หวยออนไลน์ หลังจากนี้จะส่งร่างกฎหมายไปให้คณะกรรมกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป จึงยังถือว่าเป็นเรื่องของอนาคต แต่ ณ วันนี้ ความเห็นของนักวิชาการว่าด้วย “ทุนใหญ่” สามารถหาช่องทางครอบครองสลากได้เป็นจำนวนมาก ทำให้รายย่อยต้องรับซื้อในราคาแพงและมาขายเกินราคากับผู้บริโภค
เรื่องนี้พูดกันมานานและพูดกันทุกรัฐบาล..แต่จะแก้ไขให้เห็นผลเมื่อใด..ยังไม่มีคำตอบ!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี