“ราชทัณฑ์” เป็นงานปลายทางสุดท้ายของกระบวนการยุติธรรม ผู้กระทำผิดที่ศาลตัดสินแล้วจะถูกส่งไปลงโทษด้วยวิธีการต่างๆ ในอดีตนั้นการลงโทษเน้นไปที่เรื่องการแก้แค้นทดแทน (ตาต่อตาฟันต่อฟัน) เป็นหลัก ชีวิตของผู้ต้องโทษจึงไม่ได้รับการใส่ใจเท่าใดนัก ยังไม่นับการมีโทษประหารชีวิตในลักษณะทารุณโหดร้าย แต่ในปัจจุบันที่ “สิทธิมนุษยชน” เป็นค่านิยมหลักของโลก หลายประเทศจึงยกเลิกการมีโทษประหารชีวิต หรือแม้แต่ประเทศที่ไม่ยกเลิกก็ต้องปรับเปลี่ยนไปใช้วิธีการประหารที่นักโทษทรมานน้อยที่สุด
เช่นเดียวกันกับ “โทษจำคุก” หลักคิดสมัยใหม่ย้ำว่า “โทษจำคุกคือการจำกัดอิสรภาพแต่ไม่ใช่การทรมานทารุณกรรม” สภาพในเรือนจำขั้นต่ำที่สุดคือต้องมีสุขอนามัยดีในระดับพื้นฐานที่มนุษย์คนหนึ่งควรได้รับ รวมถึงต้องมีกระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนปล่อยกลับคืนสู่สังคม ณ วันครบกำหนดโทษ อย่างไรก็ตาม “หลายประเทศสภาพเรือนจำค่อนข้างแออัด” ทำให้สุขอนามัยก็ไม่ดี กระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็ทำได้ไม่ครบถ้วนทั่วถึง จนมีคนกล่าวอย่างประชดว่า “คุกคือที่ฝึกวิชาโจร” บ่มเพาะนิสัยชอบใช้ความรุนแรงเสียมากกว่า
ชลธิช ชื่นอุระ หัวหน้ากลุ่มโครงการ IBR สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) กล่าวในเวทีเสวนาสาธารณะว่าด้วยหลักนิติธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืนว่า “คุกประเทศไทยหนาแน่นเป็นอันดับ 8 ของโลก” อัตราส่วนผู้ต้องขังอยู่ที่ 478 คนต่อประชากร 1 แสนคน เหตุที่จำนวนผู้ต้องขังเยอะขนาดนี้เพราะนโยบายรัฐที่ให้ความสำคัญกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น การปราบปรามยาเสพติด
ทำให้จำนวนผู้ต้องขังที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 4 ต่อปี ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา และหากจำแนกตามเพศจะพบว่า มีผู้หญิงเป็นผู้ต้องขังร้อยละ 13 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 7 แน่นอนว่า “ความยากจน” ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยเข้าสู่วงจรยาเสพติด อาทิ จากการสำรวจผู้ต้องขังหญิง พบว่ารายได้เฉลี่ย 11,000 บาทต่อเดือน แต่ที่ไม่พอดำรงชีพเพราะต้องดูแลสมาชิกในครอบครัวอย่างน้อย 3 คนขึ้นไป
ปัญหาความแออัดในเรือนจำได้รับการยืนยันโดย อายุตม์ สินธพพันธุ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า ทำงานในกรมราชทัณฑ์มา 30 ปี และคนที่นี่ทราบดีว่า “ผู้ต้องขัง 1 คน ควรมีพื้นที่นอน 2.25 ตารางเมตร แต่ขณะนี้พบว่าแต่ละคนเหลือพื้นที่นอนเพียง 1 ตารางเมตรเศษๆ เท่านั้น” เพราะเรือนจำที่มีผู้ต้องขังรวมกันกว่า 3 แสนคน จากที่รองรับได้ 1 แสนกว่าคน จนตอนกลางคืนหากใครต้องลุกไปห้องน้ำก็ต้องทำใจเพราะที่นอนของตนจะหายไปทันที ยังไม่ต้องนึกถึงสภาพที่เอื้อต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ต้องขังให้พร้อมกลับคืนสู่สังคมที่ยิ่งทำได้ลำบาก
“75 เปอร์เซ็นต์ของผู้ต้องโทษเป็นคดียาเสพติด ส่วนใหญ่เป็นคดีเสพและครอบครอง คือผู้ถูกตัดสินประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตเป็นเพียงการเอาตัวเลขยาเสพติดมาคิด จำนวนยามากก็โทษสูง แต่ผมคิดว่าเรายังไม่ได้ผู้ค้ารายใหญ่เท่านั้นเอง ก็เป็นปัญหากับการจัดงบประมาณดูแลผู้ต้องขัง เพราะการแก้ไขฟื้นฟูทางกรมราชทัณฑ์ได้รับงบประมาณเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือก็เป็นงบเลี้ยงดูผู้ต้องขังกับเงินเดือนเจ้าหน้าที่” รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ระบุ
ด้านดารานักแสดงชื่อดังที่ผันตัวไปทำงานเป็นนักกิจกรรมด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม “เชอรี่” เข็มอัปสร สิริสุขะ กล่าวถึงอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จำนวนผู้ต้องขังในไทยลดลงได้ยากคือ “กลุ่มผู้ทำผิดซ้ำ” แม้ขณะอยู่ในเรือนจำจะได้เรียนหนังสือหรือฝึกอาชีพและได้รับรองคุณวุฒิก็ตาม เป็นเพราะ “ขาดระบบรองรับการมีงานทำ” เพราะคำว่า “ประวัติอาชญากรรม” ที่อยู่ติดตัวไปตลอดไม่เคยถูกลบทำให้สถานประกอบการมักไม่รับคนกลุ่มนี้เข้าทำงาน อีกทั้ง “ไม่มีทุนตั้งต้น” สำหรับเริ่มกิจการตามที่ได้อบรมมา สุดท้ายก็ต้องกลับไปทำผิดอีกเพื่อความอยู่รอด
“มุมมองจาก Private Sector (ภาคเอกชน) ถ้าจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จต้องไปทำงานกันหลังกำแพง เข้าไปทำในเรือนจำทั้งเรื่องวินัย การสอนทักษะงานที่สามารถเอามาใช้ได้ในชีวิตจริง การออกจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆ อย่างการหาที่อยู่อาศัยให้ รวมทั้งความร่วมมือจากภาครัฐที่ให้โอกาสภาคเอกชนเข้าไปทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง และสุดท้ายคือการยอมรับจากสังคมที่จะทำให้เขากลับมามีความภาคภูมิใจในชีวิตอีกครั้ง” เข็มอัปสร กล่าว
เช่นเดียวกับ พิมพรรณ ดิศกุล ณ อยุธยา จากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ซึ่งมีโอกาสได้พูดคุยกับทางผู้ประกอบการธุรกิจอาหารขนาดใหญ่รายหนึ่งที่เข้าไปทำโครงการสอนผู้ต้องขังทำอาหารมาหลายปี รวมถึงพูดคุยกับผู้คุมในเรือนจำ พบว่าสุดท้ายหลายคนที่ออกไปจากเรือนจำก็กลับเข้ามาเหมือนเดิม มีน้อยรายที่ได้เป็นลูกจ้างหรือได้เปิดร้านของตนเอง ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ “ขาดระบบติดตามต่อเนื่อง” โดยเฉพาะช่วง 1-3 ปีแรกนับจากวันปล่อยตัวจากเรือนจำ ว่าอดีตผู้ต้องขังไปมีชีวิตอยู่อย่างไร
พิมพรรณ กล่าวต่อไปว่า “เรื่องนี้ให้หน่วยงานใดทำคนเดียวไม่ได้” ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนไม่ว่าภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ที่สำคัญคือต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน เช่น ข้อกังวลของผู้ต้องขัง ครอบครัว ผู้ประกอบการ “ไม่มีข้อมูลก็ไม่อาจประเมินผล” ว่างบประมาณทรัพยากรต่างๆ ที่ลงไปได้ผลตอบรับเป็นอย่างไร และไม่อาจปรับปรุงระบบงานให้ดีขึ้นในอนาคตต่อไป
“เรื่องของการพัฒนาที่ไม่ใช่แค่จิตใจแต่เป็นทักษะชีวิต ทักษะชีวิตเป็นเรื่องที่สำคัญมาก มีบริษัทได้ให้ข้อมูลที่สำคัญอันหนึ่ง คือจริงๆ เขาอยากจ้างงานคนที่เขาทำโครงการอบรมด้วยซ้ำ แต่พอคนเหล่านี้มาสัมภาษณ์งานเขาปฏิเสธหมดเลยเพราะทัศนคติไม่ผ่าน จริงๆ แล้ววิธีการพูดคุย ท่าทาง สีหน้า บุคลิก เป็นเรื่องที่เหมือนจะธรรมดา แต่สำคัญมากสำหรับคนเหล่านี้” พิมพรรณ ยกตัวอย่าง
เรื่องของคุกและนักโทษอาจดูไกลตัวและหลายคนคงตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าในการลงทุนด้านนี้..แต่จริงๆ แล้วใกล้ตัวกว่าที่คิด เพราะจะเร็วหรือช้าผู้ต้องขังย่อมมีวันครบกำหนดโทษและถูกปล่อยตัวออกมา การลงทุนสร้างระบบที่ไม่ทำให้คนกลุ่มนี้กลับไปทำผิดซ้ำ หรือแม้แต่มากกว่านั้นคือการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมเพื่อลดโอกาสที่คนจะลำบากทุกข์เข็ญจนตัดสินใจทำผิดกฎหมาย ในระยะยาวสังคมโดยรวมย่อมปลอดภัยมากขึ้น
นั่นก็คือภาวะที่เรียกว่า “คืนทุน” แล้วไม่ใช่หรือ?
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี