ในอดีตลำคลองธรรมชาติเป็นสายน้ำที่เชื่อมโยงกัน ใช้เป็นทางสัญจรหลักในการล่องเรือค้าขายและแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างชุมชนริมน้ำในพื้นที่จังหวัดราชบุรี ในคลองมีสัตว์น้ำมากมายทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา ชุกชุม มีอุปกรณ์ดักปลา ยอ ลอบ ไซฯ ฤดูน้ำหลากมีการล่องแพ ล่องซุง น้ำในคลองใสสะอาด เพราะมีการไหลเวียนของน้ำ ไม่มีสิ่งกีดขวาง ชาวบ้านสามารถใช้น้ำในการอุปโภค-บริโภคได้
แต่หลังจากปี 2520 มีคลองชลประทานและถนนเข้ามา ทำให้ฤดูน้ำหลากตามธรรมชาติของน้ำเปลี่ยนแปลงไป และทำให้วิถีชีวิตทางเรือค่อยๆ หมดไป ไม่มีการใช้น้ำจากคลองธรรมชาติ ทำให้ไม่มีการไหลเวียนของน้ำ เกิดวัชพืช เช่น คลองท่ามะเดื่อ คลองตาคต ตั้งแต่ต้นคลองถึงปลายคลองมีผักตบชวาขึ้นรกปกคลุมหนาแน่น การเลี้ยงสัตว์เปลี่ยนจากการเลี้ยงเพื่อใช้ในการทำนามาเป็นการเลี้ยงแบบฟาร์ม เช่น ฟาร์มโคนม ฟาร์มหมู และโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีการปล่อยน้ำเสียลงคลองโดยตรงไม่มีการบำบัดน้ำเสีย
“ราชบุรี” ด้วยสภาพพื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม มีคลองชลประทาน และคลองสายเล็กๆ มากมาย ทำให้จังหวัดแห่งนี้มีน้ำตลอดทั้งปี จึงเป็นเหมาะกับการทำเกษตร “ชาวบ้านจำนวนมากประกอบอาชีพเลี้ยงปศุสัตว์” ในหลายอำเภอ เช่นอำเภอเมือง, บ้านโป่ง, โพธาราม และบางแพ “โดยเฉพาะการเลี้ยงโคนม” เนื่องจากมีสหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรีรับซื้อ กิจการโคนมจึงเป็นรายได้หลักของผู้คนในพื้นที่
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “ขาดการปรับปรุงคอกให้เหมาะสม อาทิ ในการล้างคอกมีการปล่อยน้ำเสียลงคลองโดยตรงไม่มีการบำบัด ทำให้น้ำในคลองสะสมสิ่งปฏิกูลและเน่าเสียในที่สุด” ไม่ต่างกับโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่มีการบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ปัญหาที่ตามมาคือน้ำเสียดังกล่าวส่งผลกระทบไปถึงปลายทางคือคลองดำเนินสะดวก นอกจากนี้ยังพบการเกิดวัชพืชในคลอง
จึงเป็นที่มาของการศึกษา “โครงการวิจัยเพื่อการจัดการฟาร์มเกษตรและฟาร์มโคนมเพื่อแก้ปัญหาน้ำเสียคลองดำเนินสะดวก พื้นที่โซนที่ 3”ภายใต้ชุดโครงการศึกษาปัญหาและรูปแบบการจัดการน้ำและสภาวะแวดล้อมเพื่อความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจชุมชน คลองดำเนินสะดวก โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เมื่อปี 2559 เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการของเสียจากฟาร์มโคนม และเพื่อให้เกิดฟาร์มต้นแบบด้านการจัดการของเสียและการใช้ประโยชน์จากของเสียจากฟาร์มโคนม นำไปสู่การแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
สงครามนิธิ กิติเจริญนันท์ หัวหน้าโครงการ เล่าว่า แต่เดิมชาวบ้านมีอาชีพทำนาและเลี้ยงวัวสำหรับไถนาแต่พอความเจริญเข้ามาชาวบ้านก็เปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรไถนา และหันมาเลี้ยงโคนมแทน
เพราะมีแหล่งรับซื้อในพื้นที่ แต่การเลี้ยงโคนมที่นี่ส่วนใหญ่เป็นการเลี้ยงกันตามบ้านบ้านละ 10-20 ตัว ทำเป็นแบบคอกขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วไป ส่วนใหญ่ไม่มีบ่อบำบัดน้ำเสียทำให้น้ำล้างคอกรวมถึงมูลและน้ำปัสสาวะของวัวไหลลงคลองท่ามะเดื่อ และคลองตาคต ซึ่งเป็นคลองสายหลักก่อนจะไหลมาลงคลองดำเนินสะดวกซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำเสียจาก 4 อำเภอ
นอกจากน้ำเสียจากฟาร์มโคนมรายย่อยแล้ว ยังพบว่ามีโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยน้ำเสียซึ่งมีส่วนผสมของสารเคมีต่างๆ ลงสู่ลำคลองโดยไม่ได้มีการบำบัด จึงต้องการศึกษาปัญหาการ
จัดการของเสียจากฟาร์มโคนม ที่ส่งผลกระทบให้เกิดน้ำเสียในคลองดำเนินสะดวก และหาแนวทางการจัดการของเสียจากฟาร์มโคนม ในพื้นที่โซน 3 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 13 ตำบล ใน 4 อำเภอ ได้แก่
อำเภอโพธาราม ประกอบด้วยตำบลท่าชุมพล ตำบลบ้านสิงห์ ตำบลสร้างฟ้าตำบลคลองตาคต ตำบลดอนกระเบื้อง,อำเภอบ้านโป่ง, อำเภอบ้านโป่ง ประกอบด้วยตำบลดอนกระเบื้อง ตำบลลาดบัวขาว, อำเภอบางแพ ประกอบด้วย ตำบลบางแพ ตำบลดอนใหญ่ และอำเภอเมือง ประกอบด้วย ตำบลพงสวาย ตำบลบางป่า ตำบลพิกุลทอง และตำบลโคกหม้อ โดยใช้กระบวนการวิจัยร่วมกันระหว่างคนในชุมชน หน่วยงานภาครัฐ จิตอาสา ผู้ประกอบการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
“ในอดีตน้ำเสียบ้านเราไม่เคยมีปัญหามากมายถึงขนาดนี้ แต่ในช่วง 20 ปีหลังมาสถานการณ์น้ำในคลองดำเนินสะดวกเริ่มเสีย ต้นเหตุเกิดจากคน เอะอะอะไรก็ทิ้งลงคลอง โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าจะส่งผลกระทบหรือสร้างมลพิษต่อสัตว์น้ำหรือไม่ ตอนนี้สัตว์น้ำบางชนิดก็หายไปแล้ว และต้องยอมรับว่าสิ่งที่ทำให้เกิดน้ำเสียมาจากหลายปัจจัย รวมถึงการประกอบอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยน้ำเสีย ภาคการเกษตรที่มีการใช้สารเคมี หรือแม้แต่การเลี้ยงสัตว์หรือฟาร์มปศุสัตว์ที่ไม่มีการบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยทิ้งลงลำคลอง” สงครามนิธิ กล่าว
หัวหน้าโครงการแก้ไขปัญหาฟาร์มโคนมกับลำคลองผู้นี้ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่พยายามทำความเข้าใจกับชาวบ้านด้วยกันในชุมชนคือ “น้ำเสียที่เกิดขึ้น จริงๆ แล้วเกิดจากพวกเราทำกันเอง ก็ต้องมาแก้ที่พวกเรา” ซึ่งชาวบ้านเองก็ยอมรับและยินดีร่วมมือ ทำให้การดำเนินงานที่ผ่านมาได้รับการตอบรับอย่างดีจากคนในชุมชนเข้าร่วมประชุม ระดมสมองหาทางแก้ไขปัญหากันเป็นจำนวนมาก การดำเนินงานเริ่มจาก “การพิสูจน์คุณภาพน้ำโดยใช้เครื่องตรวจวัดคุณภาพน้ำ” ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ รวมถึงคลองสาขา
พบว่า “น้ำที่ไหลมายังคลองดำเนินสะดวกเป็นน้ำเสียจริง โดยเฉพาะน้ำจากอำเภอเมือง บ้านโป่ง บางแพ เป็นน้ำเสียทั้งหมด” จากนั้นจึงจัดทีมนักวิจัยชุมชน ประชุมเตรียมประเด็นลงพื้นที่สร้างความเข้าใจกับชุมชน และสำรวจพื้นที่เพื่อจัดเก็บข้อมูล ทั้งด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิตของชุมชนที่เกี่ยวข้องกับสายน้ำ ข้อมูลที่ได้ถูกนำมาจัดทำแผนที่ทำมือของแต่ละตำบล รวมทั้งการค้นหาจุดน้ำเสียที่ปล่อยลงลำคลองที่ทำให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม และค้นหาฟาร์มต้นแบบที่รักษาสิ่งแวดล้อม
“ผลที่เกิดขึ้นหลังการเข้าร่วมโครงการคือชุมชนหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จากเดิมที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญนัก ปัจจุบันฟาร์มที่เข้าร่วมโครงการมีการจัดการของเสียที่เป็นระบบมากขึ้นเช่น หันมาจัดเก็บมูลวัว ตากแห้งขายมากขึ้น มีการทำบ่อพัก บำบัดน้ำล้างคอกก่อนปล่อยน้ำทิ้งลงคลอง และมีการใช้ประโยชน์จากของเสียที่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การนำน้ำกลับมาใช้ในการรดแปลงหญ้าภายในฟาร์ม” สงครามนิธิ ระบุ
สงครามนิธิ ยังกล่าวอีกว่า นอกจากนี้โครงการยังทำให้ได้ “ฟาร์มต้นแบบ”ในการจัดการของเสียและรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ประกอบด้วย ฟาร์มโคนมครูสัจจา ธรรมลังกาบ้านหุบมะกล่ำ อ.โพธาราม, พรชัยฟาร์มบ้านดอนโพธิ์ อ.โพธาราม, ฟาร์มโคนมช้อยเครือ บ้านห้วยลึก อ.บ้านโป่ง และฟาร์มวัชรี เขียววิจิตร อ.บางแพ เป็นการเลี้ยงกุ้งระบบปิดที่ได้มาตรฐานฟาร์มเลี้ยงกุ้งและชุมชนยังเรียกร้องให้มีการทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งต่อความรู้และกระบวนการการทำงานให้กับคนรุ่นใหม่ เพราะหากไม่ต่อเนื่องสิ่งที่ทำมาย่อมสูญเปล่า
ปัญหาน้ำเสียเป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์น้ำชาติด้านการจัดการคุณภาพน้ำจากงานวิจัยที่พบว่าระดับคุณภาพน้ำของแหล่งน้ำในลุ่มน้ำต่างๆ เช่น แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง แม่น้ำท่าจีนตอนล่าง แม่น้ำแม่กลอง เริ่มลดลง และมีแนวโน้มเสื่อมโทรมลง นอกจากน้ำเสียที่ไม่ผ่านการบำบัดจากชุมชนแล้วยังเกิดจากฟาร์มปศุสัตว์ และจะขยายในวงกว้างมากขึ้นหากไม่มีมาตรการป้องกัน
การแก้ไขปัญหาน้ำเสีย จึงไม่ใช่เป็นเพียงภาระหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐอย่างเดียวเท่านั้น “ต้นเหตุของน้ำเสียเกิดจากคนจึงต้องแก้ที่คน อย่าโทษกันแต่ต้องหันมาพูดคุย” เริ่มจากชุมชนเล็กๆ ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมและอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนตั้งแต่ครัวเรือนจนถึงโครงสร้าง โดยเฉพาะการสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดังเช่นเรื่องเล่าข้างต้นจากฟาร์มโคนมในจังหวัดราชบุรี
ที่แม้จะเป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของคนจิตอาสาที่เห็นคุณค่าของทรัพยากรแม่น้ำลำคลองที่ต้องรักษาไว้ให้คงอยู่สืบไป!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี