“แก้แล้ง แก้จน แก้เจ็บ” เป็นนโยบายปรับปรุงระบบบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี เริ่มต้นขึ้นในปี 2549 โดยเป็นความร่วมมือระหว่างองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุบลราชธานี กับกรมชลประทาน ในตอนแรกโครงการประสบความล้มเหลว เพราะแม้จะมีการแจกท่อและเครื่องสูบน้ำแต่ชาวบ้านก็ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์มากนัก ซ้ำร้ายยังเกิดความขัดแย้งไปทั่วระหว่างประชาชนด้วยกันและประชาชนกับหน่วยงานภาครัฐ
แต่ต่อมามีการดึงหน่วยงานวิชาการ อาทิ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เข้ามาเป็นตัวกลางชวนทำวิจัยบนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมไม่แบ่งแยกว่าเป็นชาวบ้าน นักวิชาการหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ร่วมกันค้นหาลักษณะภูมิประเทศ สภาพอากาศ ชนิดของพื้นที่ปลูก สภาพดินและน้ำ ฯลฯ ของแต่ละชุมชน จนท้ายที่สุดชุมชนต่างๆ สามารถออกแบบระบบการบริหารจัดการน้ำและการวางแผนเพาะปลูกที่สอดคล้องกับความเป็นจริง เครื่องมือที่รัฐแจกจ่ายให้ก็ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม
ความสำเร็จครั้งนี้นอกจากการนำกระบวนการทางวิชาการอย่างการวิจัยมาค้นคว้าวิธีแก้ปัญหาดิน น้ำ และการเกษตรของแต่ละชุมชนแล้ว “การเรียนรู้ที่จะอยู่ภายใต้กติกาที่ร่วมคิดร่วมสร้างขึ้นมา” ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ดังเรื่องราวของ “ตำบลบุ่งมะแลง” ตั้งอยู่ในเขต อ.สว่างวีระวงศ์ ไม่ไกลจากตัวจังหวัดอุบลราชธานีเท่าใดนัก ที่นี่ใช้ “เกม” เป็นแบบจำลองความรู้ความเข้าใจเรื่องข้อตกลงการใช้น้ำของชุมชน
วรงศ์ นัยวินิจ อาจารย์ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวว่า จริงๆ แล้วที่บุ่งมะแลงมีน้ำอย่างเพียงพอ หรืออาจเรียกว่ามีน้ำมากเสียด้วยซ้ำไป เพียงแต่ที่ผ่านมาแต่ละครัวเรือนไม่ทราบข้อมูลปริมาณน้ำ และไม่ทราบว่าหากตนเองนำน้ำเข้าแปลงนาในปริมาณที่มากเกินความจำเป็นจะมีผลกระทบต่อคนปลายน้ำ หรือครัวเรือนข้างเคียงอย่างไร
ทำไมต้องใช้เกม?..อาจารย์วรงศ์ ยอมรับว่า “ตอนแรกก็ไม่คิดจะใช้วิธีนี้เพราะดูแล้วท่าจะยุ่งยาก” แต่พยายามใช้วิธีอื่น เช่น ใช้แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศประกอบคำอธิบาย ซึ่งก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหา “ต่างคนต่างพูดแต่ในมุมมองของตนเองโดยไม่คิดจะเข้าใจมุมมองของผู้อื่น” ทำให้ท้ายที่สุดต้องออกแบบเกมจำลองการบริหารจัดการน้ำขึ้นมา เพื่อให้ทั้งชุมชนเห็นภาพทั้งหมดร่วมกัน
“ผมสร้างสถานการณ์ที่แตกต่างกัน 4 สถานการณ์ ตั้งแต่มีน้ำใช้อย่างเหลือเฟือจนกระทั่งน้ำไม่ดี ให้เขาเล่นเป็นตัวของเขาเอง น่าสนใจก็คือในเกมก็ยังแย่งน้ำกันใช้คือเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา ระหว่างเล่นก็มีการพูดคุยปรึกษาหารือกัน คนท้ายน้ำพอรู้ว่าน้ำมาไม่ถึงตัวเองก็พยายามพูดคุยกันเองภายในกลุ่ม ส่วนคนที่แย่งน้ำเพื่อนประจำก็จะเห็นว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ต้องการน้ำมากขนาดนั้นก็เกิดความเห็นอกเห็นใจกัน เพราะเกมมันเหมือนชีวิตจริง ทำให้คิดว่าคนเราต้องแบ่งปันกัน อันนี้คือการเปลี่ยนทัศนคติที่ดี และได้คิดว่าถ้าเจอสถานการณ์น้ำที่แย่จะทำอย่างไร
บางคนบอกว่าให้ปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย ซึ่งจะเป็นกลุ่มโนนกอยที่มีประสบการณ์นี้ เขาก็จะมาพูดให้ฟัง กลายเป็นตัวกระตุ้นให้คิดว่าเราต้องมีกฎกติกา เราต้องใช้วัฒนธรรมมาจับมากขึ้น เขารู้ในสิ่งที่เขาขาดจากเกม หนึ่งคือการจัดการกลุ่ม เขาไม่มีความรู้ตรงนี้เลย เราก็อำนวยความสะดวกไปหาคนมาช่วย อันที่สองคือเรื่องพืชใช้น้ำน้อย เขาไม่รู้เพราะเขาไม่เคยปลูกเหมือนกัน ก็มีการร้องขอมา เราก็ไปหาคนมาอบรมเรื่องการจัดการกลุ่มจากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และเรื่องพืชใช้น้ำน้อยจะเป็นหน้าที่ของเกษตรตำบล” อาจารย์วรงศ์ ระบุ
ขณะที่ วันเพ็ญ สุวรรณา 1 ในชาวบ้านที่เข้าร่วมกิจกรรม กล่าวเสริมว่า ชาวบ้านแต่ละกลุ่มได้ร่วมกันสร้างกติกาในการบริหารจัดการน้ำโดยมีหลักการและแนวทางปฏิบัติตามมติที่ประชุม โดยให้แต่ละกลุ่มไปจัดตั้งคณะกรรมการของตัวเอง พร้อมกับตั้งกติกาการใช้น้ำร่วมกันดังนี้ 1.จะจ่ายน้ำให้ 2-3 คนต่อวัน โดยใช้เส้นทางเดินน้ำทางเดียวกัน 2.เปิดเครื่องเวลา 06.00 น. ถึง 16.00 น.
3.ในกรณีที่มีการขโมยน้ำ จะมีบทลงโทษ ตั้งแต่การตักเตือนด้วยวาจา การปรับเป็นเงิน 500 บาท ต่อครั้ง และหากยังฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงก็ให้ออกจากการเป็นสมาชิก 4.ต้องดำเนินงานฝังท่อให้เรียบร้อย 5.ในขณะที่สูบน้ำ ถ้าไม่ดูแลเครื่องและเกิดความเสียหาย ให้ผู้เป็นเวรวันนั้นต้องรับผิดชอบ และ 6.หากต้องการขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐหรือ เอกชน กลุ่มย่อยทั้ง 5 กลุ่ม จะต้องประชุมกันแล้วเขียนเป็นข้อเสนอประกอบรายงานการประชุมเสนอมายังประธานกลุ่มใหญ่ ให้คณะกรรมการชุดใหญ่พิจารณาเพื่อเสนอขอความช่วยเหลือต่อไป
สำหรับกลุ่มเกษตรกรชลประทานระบบท่อตำบลบุ่งมะแลง ปัจจุบันนอกจากทำนาได้ปีละ 2 ครั้ง จากนโยบายแก้แล้ง แก้จน แก้เจ็บของ อบจ.อุบลราชธานี แล้วยังมีการปลูกพืชอื่นๆ ที่ใช้น้ำน้อย เช่น พืชผักสวนครัว ข้าวโพด แตงโม พริก มะเขือ ฟักทอง และถั่วฝักยาว เป็นรายได้เสริมในฤดูแล้งที่ไม่สามารถปลูกข้าวได้ กลุ่มผู้ใช้น้ำชลประทานระบบท่อบุ่งมะแลงมี 5 กลุ่มย่อย ใช้น้ำจาก 3 แหล่ง คือ หนอกจอก บึงบรรจง และบุ่งมะแลง
โดยพื้นที่บ้านดอนดู่มี 250 ไร่ ใช้น้ำจากหนองจอกเป็นหลัก ทุ่งบักตูมมีเนื้อที่ 200 ไร่ ใช้จากหนองจอกเช่นเดียวกัน ขณะที่บ้านโนนกอยมีเนื้อที่ 100 ไร่ ใช้น้ำจากบ่อน้ำเอกชน ที่จะอนุญาตให้ใช้ได้เป็นบางครั้ง ทั้งนี้แม้ด้านหนึ่งจะเป็นการสนับสนุนของ อบจ. ด้วยการวางท่อและระบบสูบน้ำ แต่อีกด้านหนึ่งการมองเห็นปัญหาและทางออกร่วมกันของทุกชุมชนในพื้นที่ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ปัญหาเรื่องน้ำในพื้นที่ทุเลาเบาบางลง
เมื่อ “เข้าใจตรงกัน” แล้วว่าเหตุใดต้องมีและต้องปฏิบัติตามกฎกติกามารยาทการใช้น้ำ ไม่เพียงแต่แก้ปัญหาน้ำได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ไม่เกิดการทะเลาะเบาะแว้งแตกความสามัคคีของคนในชุมชนเพราะแย่งน้ำกันใช้ได้อีกด้วย!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี