หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกองเพล ตำบลโนนทัน อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู ออกเดินทางไปสมทบกับพระอาจารย์ใหญ่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ในที่อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลเท่าใดนัก เพื่อร่วมเดินทางไปวิเวกยังสถานที่แห่งหนึ่งชื่อบ้านแม่กะตำ เมื่อคณะพระธุดงค์เดินไปถึงช่องเขาแห่งหนึ่ง ก็เจอช้างใหญ่ตัวหนึ่งยืนกินใบไผ่ขวางทางอยู่ตรงช่องเขานั้นพอดี และเป็นทางเดียวที่จะเดินผ่านไปได้ ถ้าไปทางอื่นต้องปีนเขาสูง ใช้เวลาเดินทางหลายวัน ทางนี้จึงเป็นทางลัดที่สุดที่จะไปบ้านแม่กะตำได้
หลวงปู่มั่น จึงปรึกษากับศิษย์ว่าจะทำอย่างไร พระรูปหนึ่งอาสาไปตามชาวเขาที่อยู่แถวนั้นให้มาช่วยไล่ช้างให้หลีกทางให้
ชาวเขาเหล่านั้นปฏิเสธว่า "ฮึฮึ ขะเจ้าก็กลัวตายเหมือนกัน นิมนต์ตุ๊เจ้าไล่เองเถิด"
หลวงปู่ขาวจึงอาสาไปขอเจรจากับช้าง เพราะท่านเคยผจญกับช้างมาหลายครั้งแล้ว น่าจะพูดกันรู้เรื่อง
หลวงปู่มั่น จึงบอกว่า "เอ้อ ยังนั้นก็ลองไปดู"
ช้างกำลังกินใบไผ่และหันหลังให้พระ หลวงปู่ขาวได้เพ่งจิตแผ่เมตตาให้ช้าง แล้วพูดกับช้างว่า "ดูก่อนพี่ชาย พ่อมหาจำเริญ ผู้มีกำลังมหาศาล ทั้งสังขารร่างกายก็อ้วนพีดีงาม ส่วนตัวข้าพเจ้านั้นเป็นผู้มีกำลังวังชาเพียงเล็กน้อย ทั้งอยู่ในศีลในธรรม ไม่ได้คิดมุ่งร้ายหมายขวัญต่อใครทั้งหมด ขอพี่ชายผู้มีกำลังมหาศาล จงได้หลีกทางให้พวกข้าพเจ้าผู้น้อยเดินทางไปด้วยเถิด"
ช้างหันหน้ามาทางหลวงปู่ขาวขยับหูดังพึบพับ แล้วเดินหลบไปข้างทาง เอางาซุกไว้กับกอไผ่สงบนิ่งอยู่ ราวกับจะร้องบอกนิมนต์ว่า "ตุ๊เจ้าไปเถิด"
หลวงปู่มั่นเห็นเช่นก็บอกพระลูกศิษย์ว่า "ไปได้ ไปได้ ไปได้แล้ว" พระทุกองค์จึงเดินเรียงแถวผ่านช้างไปได้อย่างปลอดภัย
พระอาจารย์มนู เดินรั้งท้ายสุด ปกติท่านกลัวช้างมากอยู่แล้ว บังเอิญตะขอกลดของท่านเกิดไปเกี่ยวอยู่กับกิ่งไผ่ข้างทาง ท่านคิดว่าช้างมันดึงเอาไว้ ไม่กล้าเหลียวหลังไปมอง
อาจารย์มนู ออกแรงกระชากติดๆ กันหลายครั้ง ตะขอก็ไม่หลุด ท่านยิ่งกลัวหนัก จะร้องให้พระองค์อื่นช่วยก็กลัวจะถูกหลวงปู่มั่นตำหนิเอา เพราะพระอาจารย์ท่านไม่ชอบพระธุดงค์ขี้ขลาด ท่านจะว่าเอาแรงๆ
หลวงปู่บอกว่า พระอาจารย์มนู กลัวช้างถึงกับปัสสาวะราดโดยไม่รู้ตัว ท่านจึงตัดสินใจกระชากกลดเต็มที่ ตะขอหลุด ท่านถึงกับล้มคะมำไปข้างหน้า ท่านหันไปมองข้างหลังเห็นช้างใหญ่ยังยืนสงบนิ่งอยู่ที่เดิม ตะขอไปเกี่ยวกับกิ่งไผ่ต่างหาก
พระอาจารย์มนูถึงกับละอายใจตัวเอง รีบลุกขึ้นแล้วเดินตามคณะพระธุดงค์ไป ภายหลังได้เล่าให้หมู่พวกที่ร่วมเดินทางได้ฟังกันอย่างขบขันยิ่ง
ในประวัติของหลวงปู่ขาว อนาลโย มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับบรรดาช้างเสืออยู่เสมอ ตั้งแต่ครั้งที่ท่านอยู่จังหวัดเชียงใหม่จนถึงขณะอยู่ถ้ำกลองเพล
หลวงปู่เล่าว่า ตอนมาอยู่ถ้ำกลองเพลใหม่ๆ นั้น สถานที่นี้เต็มไปด้วยป่าดงดิบหนาทึบเลยทีเดียว ในเวลากลางดึกสงัด จะมีช้างเป็นฝูงๆ มาเดินเพ่นพ่านอยู่บริเวณวัด ฝูงละ 11 ตัว 7 ตัว 5 ตัว 3 ตัว โดยไม่เกรงกลัวผู้ใด
หลวงปู่เล่าว่า ในคืนวันพระขึ้น 15 ค่ำ คืนหนึ่งมีช้างใหญ่เชือกหนึ่งมาไหว้พระอยู่หลังถ้ำทางด้านทิศเหนือ หลังจากพระท่านทำวัตรเสร็จแล้ว ช้างเชือกนั้นก็กลับออกไปทางทางทิศตะวันออกของถ้ำ เพื่อหากินตามประสาของมัน
ช้างเชือกนั้นเดินออกจากวัดไปถึงบ้านนายอ้อง-นางกี่ เป็นบ้านที่สร้างในลักษณะเพิงหมาแหงน ตั้งอยู่หลังเดียวในป่าบริเวณนั้น
ปรากฏว่า หมาของนายอ้องวิ่งออกจากบ้านมาเห่าช้างเสียงดังไม่ยอมหยุด จนนายอ้องเกิดรำคราญ จึงหยิบปืนแก๊ปเดินออกจากบ้าน มองไปตามเสียงหมาเห่า มองเห็นช้างตัวใหญ่มาแถวนั้นโดยลำพังตัวเดียว จึงยกปืนขึ้นยิงออกไป พร้อมตะโกนออกไปว่า "มึงมาทางนี้ทำไม เดี๋ยวก็ถูกปืนยิงหรอก อ้ายใจน้อยตาน้อยหูใหญ่ หนีไปอย่าเข้ามาในเขตนั้น" ช้างก็หนีไป ซึ่งหลวงปู่บอกว่ามันคงเจ็บใจและผูกอาฆาต
หลังจากนั้นสองสามวัน นางกี่ภรรยานายอ้องแกไปธุระที่บ้านโนนทัน ขากลับได้หาบข้าวเปลือกมาด้วย พร้อมกับลูกสาวตัวเล็กเดินมาด้วยหนึ่งคน
ในระหว่างทางนางกี่ก็พบช้างใหญ่ตัวนั้น มันแผดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว งวงถอนเอาต้นกล้วยบริเวณนั้นแล้ววิ่งใส่เอาต้นกล้วยไล่ตีนางกี่
นางกี่ทิ้งหาบข้าวเปลือก รีบกระชากมือลูกสาววิ่งหนีสุดฤทธิ์ ช้างก็วิ่งไล่ตามไม่ลดละ นางไปพบขอนไม้ใหญ่ล้มอยู่ จึงพาลูกสาวไปหลบอยู่ข้างขอนไม้นั้น
ทีแรกช้างวิ่งเลยไป พอมองเห็นมันก็วิ่งกลับมา นางกี่และลูกน้อยสุดที่จะหนีได้ทัน ช้างใช้งวงฟาดกระหน่ำไปที่ขอนไม้ พร้อมทั้งใช้เท้ากระทืบจนหนำใจ แล้วจึงหนีไป
ชาวบ้านได้ออกมาช่วยเหลือ พบว่านางกี่นอนหายใจระรวยอยู่ใต้ขอนไม้ แกไม่ตายแต่ลูกน้อยแบนอยู่ ณ ที่นั้น ยังความสลดสังเวชแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก
หลวงปู่เล่าถึงช้างเชือกนั้นว่า "มันสำคัญเป็นช้างของพี่ปู่หลุบพาน" (เจ้าพ่อปู่หลุบ แห่งเทือกเขาภูพาน) มันสามารถฟังรู้สำเนียงคนพูดได้เข้าใจ หากใครไปด่าว่าท้าทาย หรือพูดว่ามันให้เสียๆ หายๆ มันจะคอยทำอันตรายเอาจนสมใจแค้นเลยทีเดียว
ตรงกันข้าม ถ้าใครพูดดี พูดไพเราะเสนาะโสต มันก็ไม่เข้ามารบกวน เช่นพูดว่า “พ่อตู้พ่อตา (ปู่หรือตา) อย่ามาทำอันตรายหรือรบกวนบรรดาลูกหลานเลย ลูกหลานขอทำไร่ทำสวน เพื่อยังชีพลูกพร้อมทั้งเอาไปทำบุญทำทาน จะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ชาติหน้าจะได้ไปเกิดในชั้นสวรรค์ต่อไป”
ถ้าพูดอย่างนี้ ช้างเชือกนั้นจะไม่มาทำอันตรายแต่ประการใด พร้อมทั้งหลบหลีกเปิดทางให้หรือเดินจากไปโดยไม่มายุ่งเกี่ยวเลย...
**จากหนังสือประวัติ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู**
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี