พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 กำหนดให้จัดทำ “ธรรมนูญสุขภาพ” ซึ่งมีอยู่ 2 ระดับคือ 1.ธรรมนูญสุขภาพระดับชาติ เพื่อกำหนดนโยบายด้านสุขภาพในระดับทั่วประเทศ กับ 2.ธรรมนูญสุขภาพระดับพื้นที่ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านถึงระดับจังหวัด ซึ่งธรรมนูญสุขภาพประเภทหลังนี้ “เป็นข้อตกลงร่วมกับของทุกองคาอยพในพื้นที่” ไม่ว่าภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม มุ่งเน้นให้คนในพื้นที่ลุกขึ้นมาจัดการปัญหาของตนเองด้วยตนเอง
ที่งานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 11 มีการจัดเสวนา “ความหลากหลายที่งดงามของธรรมนูญสุขภาพพื้นที่” เชิญตัวแทนจาก 4 ภาค ที่นำหลักการธรรมนูญสุขภาพไปขับเคลื่อนประเด็นต่างๆ ในพื้นที่แล้วประสบผลสำเร็จมาบอกเล่าเรื่องราวที่มาที่ไป อาทิ ภัทรพงษ์ อิลาชาญ ตัวแทนจากชุมชนมุสลิมมัสยิดอัตตักวา ต.วัดเกต อ.เมือง จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เคยมีโอกาสเข้าอบรมในหลักสูตรหนึ่ง ซึ่งได้เรียนรู้วิธีการจัดทำนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพอย่างมีส่วนร่วม
จากนั้นได้ไปดูงานธรรมนูญสุขภาพที่ จ.เชียงราย เกิดประทับใจที่ชาวบ้านออกแบบวิธีแก้ไขปัญหาและลงมือทำ
ไม่ใช่นโยบายจากภาครัฐ แต่ความท้าทายคือ 1.ข้อจำกัดทางศาสนาจึงไม่อาจพึ่งพารัฐได้มากนัก เช่น นโยบายกองทุนหมู่บ้านมีเรื่องดอกเบี้ยซึ่งขัดกับคำสอนของศาสนาอิสลาม 2.ความต่างคนต่างอยู่ตามวิถีชุมชนเมือง
ทำอย่างไรผู้คนจะสนใจส่วนรวมมากกว่าตนเอง แต่ก็ค่อยๆ ทำกันไปทีละขั้น ตั้งแต่ “ค้นหารากเหง้าของชุมชน” เก็บข้อมูลประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสในชุมชน ทำให้คนรุ่นหลังภาคภูมิใจในชุมชนก่อนเป็นอันดับแรก
ต่อมาจึงค่อยขับเคลื่อนประเด็นอื่นๆ เช่น “การจัดการขยะ” ตั้งแต่คัดแยกจนถึงสร้างมูลค่า เชิญตัวแทนภาคธุรกิจเอกชนที่เชี่ยวชาญมาให้ความรู้กับชาวบ้าน หรือ “กองทุนสวัสดิการชุมชน” ซึ่งก็มีคำถามเช่นกันว่า “เป็นชุมชนมุสลิมมีธรรมนูญชุมชนไปทำไม? ในเมื่อชาวมุสลิมมีคัมภีร์อัลกุรอานเป็นธรรมนูญชีวิตอยู่แล้ว?” แต่เรื่องนี้มีคำตอบ นั่นคือ “ในคัมภีร์มีถึง 6 พันกว่าโองการ” ดังนั้นการแยกเป็นประเด็นออกมาเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในแต่ละเรื่องน่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมชัดกว่า
“เราก็ไปค้นคว้าแล้วพบว่าซะกาตคือภาษี เมื่อมีเงินในบัญชี 100 บาท ครบ 1 ปีต้องออกมา 2.50 บาท แล้วก็มีเรื่องการทำทาน เราก็ถามสมาชิกในชุมชนว่าถ้าจะทำทานช่วยเหลือพี่น้องในชุมชนได้อย่างไม่เดือดร้อนคือเท่าไหร่? เขาก็บอกวันละบาทไม่เดือดร้อน ก็มีคณะกรรมการจากชาวบ้านที่เขาเรียนรู้เรื่องการจัดสวัสดิการมาออกระเบียบแล้วก็เปิดรับสมาชิกบริจาค ทีนี้สมาชิกบริจาคขั้นต่ำ 360 บาท ให้แบงก์พัน เราจะทอนให้เขาบอกไม่ต้อง เขาบริจาค หลักการนี้ทำให้กองทุนสวัสดิการมีเงิน 2-3 แสนบาทในเวลาเพียง 2-3 เดือน” ภัทรพงษ์ ยกตัวอย่าง
จากภาคเหนือมุ่งหน้าลงสู่ภาคใต้ สุพจน์ ชดช้อย นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) อ่าวนาง จ.กระบี่ เล่าว่า ธรรมนูญสุขภาพของอ่าวนาง “เน้นแก้ปัญหาขยะมูลฝอย” ด้วยความที่ จ.กระบี่ เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง จำนวนนักท่องเที่ยวจึงมากและปริมาณขยะก็มากตามไปด้วย เฉลี่ย 70 ตันต่อวัน ชาวบ้านในพื้นที่ก็พูดกันว่า “ขยะคนท้องถิ่นจริงๆ มีไม่มาก ที่มากคือโดยคนนอก” ทั้งจากนักท่องเที่ยวและผู้คนในภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว จึงเห็นตรงกันว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างอ่าวนางคงหมดความสวยงามแน่นอน
หลังลองผิดลองถูกด้วยการนำถังขยะออกไป ให้แต่ละบ้านเก็บขยะใส่ถุงดำก่อนนำมากองไว้ช่วงกลางคืนให้รถขยะมาเก็บ แล้วพบปัญหาคนเก็บของเก่ามากรีดถุงเพื่อหาขยะที่ใช้ได้ทำให้ขยะหกเกลื่อนเรี่ยราดตามด้วยสุนัขจรจัดมาคุ้ยเขี่ยหาอาหารจนเป็นภาพอุจาดตา ทำให้เปลี่ยนมาใช้ถุงใสพร้อมกับคัดแยกขยะประเภทที่ขายได้ใส่ถุงไว้ต่างหากเพื่อให้เห็นขยะภายในไม่ต้องกรีดอีกต่อไป รวมถึงเข้มงวดกับผู้ประกอบการว่าต้องมีระบบบำบัดน้ำเสีย ปัจจุบันพื้นที่ อบต.อ่าวนาง ก็ค่อยๆ สะอาดขึ้นตามลำดับ และจะขยายไปด้านอื่นๆ เช่น การจราจรในเมืองท่องเที่ยวต่อไป
ไปที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือกันบ้าง จีรนันท์ ธารไชย ผู้อำนวยการส่วนบริการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ เล่าว่า หลังจากคณะกรรมการที่ประกอบด้วยชุมชน ภาครัฐ และภาควิชาการหารือกัน ได้ข้อสรุป “5 ดี” หมายถึงเป้าหมาย 5 ด้านที่อยากเห็นเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์เป็น ประกอบด้วย “คนดี - สุขภาพดี - รายได้ดี - สิ่งแวดล้อมดี - สังคมดี” จนเกิดเป็น “ธรรมนูญ 5 ดี คัมภีร์ก่อร่างสร้างฝัน เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์” เริ่มใช้กับชุมชนนำร่อง 4 แห่ง เพื่อให้เกิดการปฏิบัติอย่างยั่งยืน
“อย่างเรื่องสังคมเราเกิดถนนสายบุญในชุมชน มีการตักบาตรทุกวันอาทิตย์ ให้ประชาชนมาร่วมทำบุญ พ่อแม่ปู่ย่าตายายก็ได้มาทำบุญร่วมกัน แล้วอาหารที่เหลือจากบิณฑบาตซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้าวสารอาหารแห้งเราก็จะนำไปช่วยเหลือผู้ยากไร้ในชุมชน เกิดถนนสายบุญ เกิดคนได้รับประโยชน์ด้วย สอดรับกับนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัด คือคนกาฬสินธุ์ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” จีรนันท์ ระบุ
ปิดท้ายที่ภาคตะวันออก สานิตย์ เจนสัญญายุทธ ประธานกรรมการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพตำบลเขาไม้แก้ว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี เล่าว่า เขาไม้แก้วมีประชากรประมาณ 8,000 คน ในอดีตมีความอุดมสมบูรณ์ทั้งพืชและสัตว์ กระทั่งตั้งแต่ปี 2529 ในพื้นที่เริ่มปรับเปลี่ยนสู่การทำเกษตรเชิงเดี่ยวซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนายทุน ความอุดมสมบูรณ์ก็ค่อยๆ ลดลง
กระทั่งมาถึง “จุดเปลี่ยน” ในปี 2551 มีกลุ่มทุนเข้ามาเปิดโรงงานหลอมทองแดง นำเศษขยะอิเล็กทรอนิกส์จากเขตนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดใกล้เคียงอย่างชลบุรีและระยองมารวบรวมไว้กองเป็นภูเขาสูง เมื่อเตาหลอมเดินเครื่องก็ส่งกลิ่นเหม็นไปในรัศมีโดยรอบ 5 - 10 กิโลเมตร เกิดการต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของชุมชนเพราะโรงงานหลอมขยะพิษแถมใช้เชื้อเพลิงที่เป็นพิษอย่างถ่านหิน และหลังจากนั้นชุมชนก็ต้องต่อสู้กับการรุกคืบของอุตสาหกรรมอันตรายอีกหลายระลอก ทำให้ชุมชนเห็นตรงกันว่าต้องมีข้อตกลงร่วมกัน และผู้ที่เข้ามาก็ต้องปฏิบัติตาม
ทั้ง 4 ตัวอย่างนี้สนับสนุนหลักคิด “เสื้อสั่งตัด” ว่านโยบายที่แก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมักเกิดขึ้นจาก “คนหน้างาน” ไม่ว่าประชาชนหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งจะแตกต่างกันไปในบริบทแต่ละพื้นที่ สอดคล้องกับหลักการ “กระจายอำนาจ” ให้ชุมชนบริหารจัดการตนเอง ความสำเร็จย่อมเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี