ช่วงนี้มีคนพูดถึงการทำ "ฝนเทียม" หนาหูมาก เพราะสถานการณ์ฝุ่นควันพิษในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เข้าสู่วิกฤติทางอากาศ และน่าเป็นห่วงหลายจุด เนื่องจากมีปริมาณฝุ่นเกินมาตรฐานติดต่อกันหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน และมีรายงานค่าฝุ่นละออง PM 2.5 โดยเมื่อพื้นที่ริมถนน เกินค่ามาตรฐาน (50 มคก./ลบ.ม.) 19 พื้นที่ พื้นที่ทั่วไปเกินค่ามาตรฐาน 17 พื้นที่
ทั้งนี้ กลุ่มฝุ่นละอองที่เกินมาตรฐานนั้นจำเป็นต้องมีน้ำฝนหรือน้ำเข้ามาชะล้างค่าฝุ่นละอองให้น้อยลง ซึ่งทางกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้เตรียมการขึ้นบินเพื่อทำฝนหลวงในการแก้ปัญหาฝุ่นละอองที่เกินมาตรฐานในพื้นที่กรุงเทพมหานคร แต่การทำฝนเทียมต้องมีปัจจัยหลายด้าน ทั้งด้านความชื่นและทิศทางลม หากมีความชื่นไม่เพียงพอก็ไม่สามารถดำเนินการได้
สำหรับ การทำฝนเทียมเป็นกรรมวิธีดัดแปรสภาพอากาศเพื่อให้เกิดฝน การทำฝนเทียมเป็นกรรมวิธีเลียนแบบธรรมชาติ โดยทำจากเมฆซึ่งมีลักษณะพอเหมาะที่จะเกิดฝนได้ จากนั้นจึงเร่งให้เกิดการควบแน่นของเมฆ ด้วย 3 ขั้นตอน คือ ก่อกวน, เลี้ยงให้อ้วน, และโจมตี มักทำใน 2 สภาวะ คือ การทำฝนเมฆเย็น เมื่อเมฆมีอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส และ การทำฝนเมฆอุ่น เมื่อเมฆมีอุณหภูมิสูงกว่า 0 องศาเซลเซียส การทำฝนเทียมในสองสภาวะนี้จะใช้สารในการดัดแปรสภาพอากาศที่แตกต่างกัน ซึ่งขั้นตอนการทำฝนเทียม มีดังนี้
1. "ก่อกวน" เป็นขั้นตอนที่เมฆธรรมชาติเริ่มก่อตัวทางแนวตั้ง การปฏิบัติการฝนหลวงในขั้นตอนนี้จะมุ่งใช้สารฝนหลวงซึ่งก็คือ สารเกลือแป้ง ซึ่งเป็นสารที่สามารถดูดซับไอน้ำจากมวลอากาศได้ ไปกระตุ้นให้มวลอากาศเกิดการลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน เพื่อให้เกิดกระบวนการชักนำไอน้ำหรือความชื้นเข้าสู่ระบบการเกิดเมฆ ซึ่งการก่อเมฆนี้จะใช้เครื่องบินเมฆอุ่นโปรยสารเกลือแป้งบริเวณต้นลมของพื้นที่เป้าหมายที่ระดับความสูง 7,000-8,000 ฟุต
โดยที่สารเกลือแป้งแต่ละอนุภาคจะทำหน้าที่เป็นแกนกลั่นตัว (Cloud Condensation Nuclei) ในการดูดซับความชื้นที่มีอยู่ในอากาศ เกิดการควบแน่นกลายเป็นเม็ดน้ำและรวมตัวกันเป็นเมฆ ระยะเวลาที่จะปฏิบัติการในขั้นตอนนี้ ไม่ควรเกิน 10.00 น. ของแต่ละวัน เมื่อเมฆเริ่มมีการก่อตัวและเจริญเติบโตทางตั้งแล้ว จึงใช้สารฝนหลวงที่ให้ปฏิกิริยาคายความร้อนโปรยเป็นวงกลมหรือเป็นแนวถัดมาทางใต้ลมเป็นระยะทางสั้นๆ เข้าสู่ก้อนเมฆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดกลุ่มแกนร่วม (main cloud core) ในบริเวณปฏิบัติการสำหรับใช้เป็นศูนย์กลางที่จะสร้างกลุ่มเมฆฝนในขั้นตอนต่อไป ซึ่งภายหลังปฏิบัติการในขั้นนี้เมฆจะก่อตัวขึ้นและเจริญเติบโตได้ดี และก่อยอดสูงขึ้นถึงระดับ 10,000 ฟุต
2. "เลี้ยงให้อ้วน" เป็นขั้นตอนดัดแปรสภาพอากาศเพื่อเร่งหรือเสริมการเพิ่มขนาดเมฆและขนาดเม็ดน้ำในก้อนเมฆในขณะที่เมฆกำลังก่อตัวเจริญเติบโตซึ่งเป็นระยะสำคัญมากในการปฏิบัติการฝนหลวง เพราะจะต้องไปเพิ่มพลังงานให้แก่การลอยตัวขึ้นของก๊าซ (updraft) ให้ยาวนานออกไป โดยในขั้นนี้จะโปรยสารฝนหลวงคือ แคลเซียมคลอไรด์ (CaCl2) เข้าไปในกลุ่มเมฆที่ระดับ 8,000 ฟุต ผงแคลเซี่ยมคลอไรด์ซึ่งมีคุณสมบัติดูดความชื้นได้ดี จะดูดซับความชื้นและเม็ดน้ำขนาดเล็กในก้อนเมฆให้กลายเป็นเม็ดน้ำขนาดใหญ่ ในณะเดียวกันจะเกิดปฏิกิริยาคายความร้อน ซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะของสารแคลเซี่ยมคลอไรด์เมื่อละลายน้ำ ความร้อนที่เกิดขึ้นจะเพิ่มอัตราเร็วของกระแสอากาศไหลขึ้นในก้อนเมฆ ทั้งขนาดเม็ดน้ำที่โตขึ้นและความเร็วของกระแสอากาศไหลขึ้นที่เพิ่มขึ้น จะเป็นปัจจัยเร่งกระบวนการชนกันและรวมตัวกัน (Collision and coalescence process) ของเม็ดน้ำ ทำให้เม็ดน้ำขนาดใหญ่จำนวนมากเกิดขึ้นในก้อนเมฆ และยอดเมฆพัฒนาตัวสูงขึ้นในขั้นนี้ เมฆจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและก่อยอดสูงขึ้นไปได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการทรงตัวของบรรยากาศในแต่ละวัน
ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ ในบางวันเมฆจะไม่สามารถก่อยอดสูงเกินระดับอุณหภูมิจุดเยือกแข็ง ( 0 องศาเซลเซียส) หรือประมาณ 18,000 ฟุต เรียกว่า เมฆอุ่น (Warm Cloud) ในบางวันเมฆจะสามารถก่อยอดขึ้นไปสูงกว่าระดับอุณหภูมิจุดเยือกแข็ง เช่น ถึงระดับ 20,000 ฟุต เรียกว่า เมฆเย็น (Cold Cloud) ซึ่งภายในยอดเมฆจะประกอบด้วยเม็ดน้ำเย็นจัด (Super cooled droplet) ที่มีอุณหภูมิต่ำถึง – 8 องศาเซลเซียส
ในขั้นตอนนี้ต้องใช้เทคโนโลยีและประสบการณ์ในการทำฝนควบคู่ไปพร้อมๆ กัน เพื่อตัดสินใจ โปรยสารฝนหลวงชนิดใด ณ ที่ใดของกลุ่มก้อนเมฆ และในอัตราใดจึงเหมาะสม เพราะต้องให้กระบวนการเกิดละอองเมฆสมดุลกับความแรงของการลอยตัวขึ้นของก๊าซ (updraft) มิฉะนั้นจะทำให้เมฆสลาย
และ 3."ฎโจมตี" เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกรรมวิธีปฏิบัติการฝนหลวงเมฆหรือกลุ่มเมฆฝนมีความหนาแน่นมากพอที่จะสามารถตกเป็นฝนได้ ภายในกลุ่มเมฆจะมีเม็ดน้ำขนาดใหญ่มากมาย หากเครื่องบินบินเข้าไปในกลุ่มเมฆฝนนี้ จะมีเม็ดน้ำเกาะตามปีกและกระจังหน้าของเครื่องบิน เป็นขั้นตอนที่สำคัญและอาศัย ประสบการณ์มาก เพราะจะต้องปฏิบัติการเพื่อลดความรุนแรงของ updraft หรือทำให้อายุของ updraft หมดไป
สำหรับการปฏิบัติการในขั้นตอนนี้ จะต้องพิจารณาจุดมุ่งหมายของการทำฝนหลวง ซึ่งมีอยู่ 2 ประเด็นคือเพื่อเพิ่มปริมาณฝนตก (Rain enhancement) และเพื่อให้เกิดการกระจายการตกของฝน (Rain redistribution)
ซึ่งในขั้นตอนโจมตีนี้หากเป็นเมฆเย็นและมีเครื่องบินครบทั้งชนิดเมฆอุ่นและเมฆเย็น เมื่อเมฆเย็นพัฒนายอดสูงขึ้นเลยระดับ 20,000 ฟุต ไปแล้ว จะทำการโจมตีโดยการผสมผสานวิธีที่ 1 และ 2 ในเวลาเดียวกัน กล่าวคือ เครื่องบินเมฆเย็นจะยิงพลุสารฝนหลวง ซิลเวอร์ไอโอไดด์ (Agl) เข้าสู่ยอดเมฆ ที่ระดับความสูงประมาณ 21,500 ฟุต ส่วนเครื่องบินเมฆอุ่น 1 เครื่อง จะโปรยสารฝนหลวงโซเดียมคลอไรด์ที่ระดับไหล่เมฆ (ประมาณ 9,000 – 10,000 ฟุต) และเครื่องบินเมฆอุ่นอีก 1 เครื่อง จะโปรยสารฝนหลวงผงยูเรียที่ระดับ ชิดฐานเมฆ ทำมุมเยื้องกัน 45 องศา วิธีการนี้จะทำให้ประสิทธิภาพในการเพิ่มปริมาณน้ำฝนสูงยิ่งขึ้นและเทคนิคนี้โปรดเกล้าฯ ให้เรียกชื่อว่า SUPER SANDWICH
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในวันที่ 15 ม.ค.62 จะมีค่าความชื่นและทิศทางลมที่สามารถทำฝนเทียมได้จะได้คลายปัญหาค่ามลพิษทางอากาศลงไปได้บ้าง แต่ถึงอย่างไรประชาชนก็ต้องดูแลตัวเอง โดยเฉพาะคนที่เป็นภูมิแพ้ทางอากาศต้องหาหน้ากากอนามัยใส่ไว้เมื่อออกจากบ้าน หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งด้วย เพราะไม่รู้ว่าปัญหามลพิษนั้นจะหมดไปตอนไหน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี