ยังคงต้องติดตามสถานการณ์กันต่อไปกับ “วิกฤติฝุ่นพีเอ็ม 2.5 (PM 2.5) ในเมืองกรุง” เมื่อมีการตรวจพบปริมาณ “ฝุ่นขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน” ในระดับเป็นอันตรายต่อสุขภาพทั่วทั้งกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นปีที่ 2 แล้วที่เรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าว โดยหากย้อนไปเมื่อต้นปี 2561 ชาวกรุงเทพฯ ก็ได้ผจญกับเหตุการณ์เดียวกัน “หน้ากากแบบเอ็น 95 (N95)” ที่มีสรรพคุณกันฝุ่นดังกล่าวกลายเป็นสินค้าขาดตลาดอย่างรวดเร็วเพราะใครก็หวาดผวากับเจ้าฝุ่นมหาภัยนี้
ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาเรื่อง “จุฬาฯฝ่าวิกฤติรับมือฝุ่น PM 2.5” โดย รศ.ดร.ศริมา ปัญญาเมธีกุล อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ที่มาของการสะสม PM 2.5 ในบรรยากาศ เกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.แหล่งกำเนิดการเผาไหม้ เช่น การผลิตไฟฟ้า การขนส่ง อุตสาหกรรม
และ 2.เกิดจากปัจจัยทางธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้ เพราะช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อนอากาศจะปิด อากาศจึงไม่สามารถระบายทางแนวดิ่งได้ “ฝุ่นละออง PM 2.5 เกิดขึ้นมานานแล้ว ทั้งปีเฉลี่ยประมาณ 20 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร แต่เพราะประชาชนเพิ่งเห็นและมีหลักฐานเชิงประจักษ์ในเรื่องความเข้มข้นจึงยังไม่ตระหนักเท่าตอนนี้” และด้วยมาตรการที่มีตอนนี้จึงต้องใช้เวลาพอสมควรในการแก้ปัญหา
สำหรับผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 ต่อร่างกายนั้น ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม รองอธิการบดีด้านการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม จุฬาฯ ระบุว่ามี 2 ระยะ “ระยะสั้น” จะทำให้เกิดผื่นคัน แสบเคืองตา มีอาการไอ จาม ส่งผลให้มีอาการหอบและความดันสูงได้ ส่วน “ระยะยาว” สุ่มเสี่ยงต่อการป่วยเป็นมะเร็งปอด และโรคหัวใจ เนื่องจากฝุ่นละออง PM 2.5 จะทำลายระบบภูมิคุ้มกันของทางเดินหายใจ
โดยจมูกของคนเรานั้นสามารถกรองฝุ่นได้ 30 ไมครอน “ถ้าฝุ่นเล็กกว่า 30 จะลงไปติดที่คอ แต่ถ้าเล็กกว่า 10 จะลงในหลอดลมแต่ ถ้าเล็กกว่า 2.5 จะลงไปที่หลอดลมฝอย ไปถึงถุงลม เมื่อถึงถุงลมก็จะดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้ และจะเริ่มทำลายเซลล์เยื่อบุ จนทำให้เกิดการอักเสบของร่างกาย และเป็นมะเร็งได้” ซึ่งที่ สหรัฐอเมริกา ก็พบว่าทุก 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ของฝุ่นละออง PM 2.5 จะมีอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปอดของคนอเมริกัน เพิ่มสูงถึงร้อยละ 20 หรือ 1.5 เท่า และเสี่ยงการเสียชีวิตจากโรคหัวใจเพิ่มขึ้น ร้อยละ 5 จากจำนวนประชากรทั้งประเทศ
“ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ มีปัญหาเรื่องทางเดินหายใจและหลอดลม เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่สูบบุหรี่จะมีผลกระทบมากที่สุด เป็นกลุ่มเสี่ยงควรอยู่ในบ้าน ถ้ามีเครื่องฟอกอากาศก็จะช่วยได้บ้าง ควรงดกิจกรรมออกกำลังกายที่ทำให้กระจายลึกและแรง คนที่มีความเสี่ยงเรื่องทางเดินหายใจ เป็นภูมิแพ้หรือหอบหืด ต้องล้างจมูกมากขึ้น และควรพ่นยากันหอบก่อนออกจากบ้าน ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ผู้ที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงมีโอกาสที่จะป่วยได้แน่นอน” รองอธิการบดีด้านการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม จุฬาฯ ระบุ
ขณะที่ รศ.ดร.กุลยศ อุดมวงศ์เสรี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาฯ ชี้แจงถึงข้อกังวลถึงฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เกิดจากโรงไฟฟ้า โดยระบุว่า ส่วนใหญ่โรงไฟฟ้าจะใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จึงปล่อยมลพิษและฝุ่นต่ำ ส่วนโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ใช้ถ่านหินจะอยู่บริเวณภาคกลางฝั่งตะวันออกซึ่งมีระบบดักจับฝุ่นและวัดการปล่อยมลพิษที่ต้องรายงานหน่วยงานรัฐ จึงมีความปลอดภัย สำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงไฟฟ้าขยะขนาดเล็ก ที่มีอยู่ทั่วไปในบริเวณภาคกลาง มีกำลังการผลิตไม่มากเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่
จึงไม่เป็นอันตรายแต่ต้องดักจับฝุ่นละอองให้ดี เนื่องจากฝุ่นที่เกิดจากการเผาไหม้ชีวมวลจะมากกว่าปกติ ส่วนของโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงความร้อนสำหรับหม้อต้ม (Boiler) ที่กระจายตัวอยู่ในภาคกลาง และโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงความร้อนซึ่งการกระจายตัวของโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการใช้เชื้อเพลิงความร้อนมีแนวโน้มใกล้เคียงกับการกระจายตัวของ PM 2.5 เหตุนี้ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่ใหญ่มากก็อาจน่ากังวลเล็กน้อย จึงควรมีการวัดและเก็บข้อมูลมากกว่านี้
ด้าน รศ.ดร.มาโนช โลหเตปานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันการขนส่ง จุฬาฯ กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพฯ ขณะนี้ “การขนส่งเป็นสาเหตุหลัก” ฝุ่นละอองขนาดเล็กจะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี แต่เนื่องจากสภาพอากาศที่ปิดในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับ “การพัฒนาเมืองของกรุงเทพมหานครที่มีตึกสูงเป็นจำนวนมาก” จึงทำให้ฝุ่นขนาดเล็กไม่สามารถระบายออกไปได้เหมือนในช่วงเวลาอื่นๆ
“ต้นเหตุของฝุ่น PM 2.5 ในภาคขนส่งเกิดจากเครื่องยนต์รถที่เผาผลาญไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะรถดีเซล และรถเก่า ที่ไม่ได้รับการบำรุงรักษา การแก้ปัญหาระยะยาวในภาคขนส่ง จึงต้องยกระดับมาตรฐานเครื่องยนต์และเชื้อเพลิง เนื่องจากต่างประเทศมาตรฐานค่าไอเสียอยู่ที่ยูโร 6 แต่ในไทยมีค่าอยู่ที่ยูโร 4 แต่รถยนต์ที่ใช้จริง มีแค่ยูโร 2 และยูโร 3 เท่านั้น ซึ่งถ้าแก้ปัญหาตัวนี้ได้จะสามารถลดฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ” ผอ.สถาบันการขนส่ง จุฬาฯ ระบุ
แน่นอนสำหรับการแก้ปัญหาระยะยาว “การลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวนั้นจำเป็น” โดยภาครัฐจะต้องให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงระบบขนส่งมวลชนหลากหลายรูปแบบในกรุงเทพฯ ตั้งแต่รถไฟฟ้า รถเมล์ ไปจนรถจักรยานยนต์รับจ้าง ให้ผู้โดยสารได้รับความปลอดภัย ตรงเวลา สะดวกและประหยัด ควบคู่ไปกับการเข้มงวดเรื่องของการตรวจสภาพเครื่องยนต์ และบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งเรื่องนี้พูดกันมานานมาก...แต่ก็ทำยากเพราะ “รถยนต์ส่วนตัวหยั่งรากลึกเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตคนไทย” มาหลายสิบปี พร้อมๆ กับการที่ “กรุงเทพฯ เป็นเมืองโตเดี่ยวและโตแบบไร้ขอบเขต” ดึงดูดให้คนทั่วประเทศอพยพเข้ามาแสวงหาโอกาสให้กับชีวิต ดังนั้นก็เชื่อว่าผู้อาศัยในเมืองกรุงคงต้องถือคติ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ในการระมัดระวังฝุ่น PM 2.5 ไปอีกนาน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี