‘สุนัขจรจัด รุมกัดเด็ก’...ไขข้อข้องใจ‘กฎหมายคุ้มครองหมา ไม่คุ้มครองคน’(จบ)
ตอนที่แล้ว (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ‘สุนัขจรจัด รุมกัดเด็ก’...ไขข้อข้องใจ‘กฎหมายคุ้มครองหมา ไม่คุ้มครองคน’(1)) ผมพูดถึงข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสุนัข พ.ศ. ๒๕๔๘ และทิ้งท้ายว่า บทนิยามคำว่า "เจ้าของสุนัข"หมายความรวมถึงผู้ให้อาหารสุนัขเป็นประจำด้วย แต่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเพิกถอนบทนิยามคำนี้ออกไปแล้ว ผมขออนุญาตนำเสนอเรื่องที่มีการฟ้องคดีกันมาเล่าสู่กันฟัง
หลังจากมีการประกาศใช้ข้อบัญญัติดังกล่าว ปรากฏว่า นาย ถ. กับพวกรวม ๕ คน ได้ยื่นฟ้องผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กับพวก ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้เพิกถอนข้อ ๕ บทนิยาม คำว่า"เจ้าของสุนัข (ที่ให้รวมถึงผู้ให้อาหารสุนัขเป็นประจำด้วย)" "ที่หรือทางสาธารณะ" "ใบรับรอง"และ "การจดทะเบียนสุนัข" รวมถึง ข้อ ๙ ข้อ ๑๒ ข้อ ๑๓ ข้อ ๑๔ ข้อ ๑๗ และข้อ ๒๖ ของ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสุนัข พ.ศ. ๒๕๔๘ ที่กำหนดหน้าที่ของเจ้าของสุนัขไว้ด้วย เรียกว่าต้องการล้มข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครฉบับนี้เลย
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง โดยสรุปว่า การออกข้อบัญญัตินี้เพื่อประโยชน์ในการรักษาสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพของประชาชนในท้องถิ่นหรือเพื่อป้องกันอันตรายจากเชื้อโรคที่เกิดจากสุนัข อันเป็นมาตรการในการกำกับดูแล และป้องกันเกี่ยวกับการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อให้เจ้าของสุนัขเลี้ยงสุนัขด้วยความรับผิดชอบต่อชุมชนโดยส่วนรวมด้วย อันเป็นการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะตาม อำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง และการกำหนดภาระหน้าที่และระยะเวลาที่เจ้าของสุนัขต้องปฏิบัติตามข้อบัญญัติและระเบียบที่พิพาทเป็นเรื่องที่อยู่ในวิสัยที่วิญญูชนสามารถปฏิบัติได้ กรณียังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดในชั้นนี้ว่าข้อบัญญัติดังกล่าวก่อให้เกิดภาระแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสี่เกินสมควรในฐานะเจ้าของสุนัข และไม่พบว่ากฎดังกล่าวมีข้อบกพร่องแต่อย่างใดอันจะทำให้เป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ข้อบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นกฎที่ชอบด้วยกฎหมาย สำหรับผู้ฟ้องคดีที่ ๓ มิใช่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากกฎที่นำมาฟ้องคดี จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ต่อศาล จึงพิพากษายกฟ้อง
ผู้ฟ้องคดีทั้งห้ายื่นอุทธรณ์ ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ อ. ๗๖๔/๒๕๕๖ ว่า การออกข้อบัญญัติดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและเป็นไปตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายกำหนดแล้ว ปัญหาที่เกิดจากจำนวนสุนัขจรจัดเพิ่มขึ้นในเขตท้องที่ปกครองของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นและต่อเนื่องมานาน โดยมีความพยายามจากหลายฝ่ายที่จะแก้ปัญหาในรูปแบบและวิธีการต่าง ๆ เช่น การทำหมันสุนัขจรจัด การจัดสถานเลี้ยงสุนัขจรจัด เป็นต้น แต่แก้ไขได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากมีปัญหาที่เกิดจากเจ้าของสุนัขนำสุนัขมาปล่อยในที่สาธารณะ การตราข้อบัญญัติโดยเฉพาะข้อ ๕ นิยามคำว่า "ที่หรือทางสาธารณะ" "ใบรับรอง" "การจดทะเบียนสุนัข" และข้อ ๙ ข้อ ๑๒ ข้อ ๑๓ ข้อ ๑๔ และข้อ ๑๗ จึงเป็นมาตรการในการควบคุมการเลี้ยงสุนัขเพื่อประโยชน์ในการรักษาสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพของประชาชนในกรุงเทพมหานคร และเพื่อป้องกันอันตรายจากเชื้อโรคที่เกิดจากสุนัขโดยการฝังไมโครชิปและจดทะเบียนสุนัขเพื่อให้สามารถระบุตัวสุนัขได้ ซึ่งจะทำให้ทราบว่าผู้ใดเป็นเจ้าของสุนัข เพื่อรับผิดชอบในกรณีที่พบว่ามีการปล่อยสุนัขเป็นสุนัขจรจัด หรือกรณีที่สุนัขไปทำร้ายหรือสร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลอื่นหรือสังคม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแก้ไขพฤติกรรมของเจ้าของสุนัขหรือผู้เลี้ยงสุนัขให้มีความรับผิดชอบต่อสุนัขที่ตนเลี้ยงและสังคม และเป็นการแก้ไขปัญหาการเพิ่มจำนวนของสุนัขจรจัดที่ต้นเหตุเป็นสำคัญ
แม้ข้อบัญญัติดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อเสรีภาพในการเลี้ยงสุนัขของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าก็ตาม แต่เมื่อชั่งน้ำหนักผลกระทบและความเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าได้รับกับผลประโยชน์ของสาธารณะที่ต้องสูญเสียแล้ว ความเสียหายของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าที่ได้รับเบาบางกว่าความเสียหายของประโยชน์สาธารณะ ประกอบกับยังไม่อาจแสวงหามาตรการอื่นใดที่จะสามารถดำเนินการให้บรรลุผลในการแก้ไขปัญหาสุนัขจรจัดได้เท่ากับมาตรการที่กำหนดในข้อบัญญัติดังกล่าว ข้อบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นมาตรการที่จำเป็นแก่การดำเนินการเพื่อควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสุนัขแล้ว
นอกจากนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้จัดให้มีบริการฝังไมโครชิปและจดทะเบียนสุนัขโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หากเจ้าของสุนัขไปดำเนินการที่สถานพยาบาลสัตว์เอกชน มีค่าใช้จ่าย ๓๐๐ ถึง ๕๐๐ บาท ซึ่งไม่ได้มากเกินไปกว่าที่ผู้เลี้ยงสุนัขต้องรับผิดชอบ การที่ข้อบัญญัติมีผลใช้บังคับเฉพาะ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ และไม่ขัดต่อหลักความเสมอภาคแต่อย่างใด ดังนั้น การออกข้อบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นการใช้อำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย มิได้มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น หรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควรแต่อย่างใด
ส่วนบทนิยาม คำว่า"เจ้าของสุนัข" ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า เป็นการให้คำนิยามความหมายที่มีผลทำให้ประชาชนที่เพียงแต่ให้อาหารแก่สุนัขจรจัดเป็นประจำด้วยความเมตตาต้องมีภาระ หน้าที่ในการพาสุนัขจรจัดไปฝังไมโครชิปและจดทะเบียนสุนัข มิเช่นนั้นอาจทำให้บุคคลนั้นกระทำผิดกฎหมาย ทั้งที่หน้าที่ในการจัดการ ควบคุม ดูแลสุนัขจรจัด เป็นหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แต่กลับผลักภาระดังกล่าวมาให้กับประชาชน การให้บทนิยามดังกล่าว จึงเป็นข้อบัญญัติที่สร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควรและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ให้เพิกถอนข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสุนัข พ.ศ. ๒๕๔๘ ในข้อ ๕ บทนิยามของคำว่า "เจ้าของสุนัข" ที่ให้หมายความรวมถึงผู้ให้อาหารสุนัขเป็นประจำด้วย ตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา (๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖)
บทนิยามคำว่า "เจ้าของสุนัข" ในข้อบัญญัติดังกล่าว จึงไม่มีอยู่ในข้อบัญญัติดังกล่าวแล้ว
ถ้าสุนัขมีเจ้าของ รุมกัดเด็ก จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ผมเขียนไว้ในตอนที่ ๑ แล้ว เจ้าของสุนัขอาจต้องรับโทษอาญา ฐานปล่อยปละละเลยสุนัขดุเที่ยวไปโดยลำพัง ในประการที่อาจทำอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๗๗ และต้องรับผิดทางแพ่งชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๓๓
ถ้าเป็นสุนัขจรจัด ไม่มีเจ้าของ หรือสืบค้นไม่ได้ว่า ใครเป็นเจ้าของ ......... ใครต้องรับผิดชอบ ....?
ผมเขียนไว้ในตอนที่ ๑ ว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายป้องกันการทารุณกรรมสัตว์มีหน้าที่ดำเนินการจัดสวัสดิภาพให้แก่สัตว์ตามความเหมาะสม หากไม่ปฏิบัติหน้าที่ อาจมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๑๕๗ แห่งประมวลกฎอาญา และ........ เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามกฎหมายสาธารณสุข และข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ตราขึ้นเพื่อควบคุมการ เลี้ยงสุนัขและการปล่อยสุนัข มีหน้าที่ต้องปฏิบัติในการควบคุม ดูแล สุนัขจรจัด หากไม่ปฏิบัติหน้าที่อาจมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าตามมาตรา ๑๕๗ แห่งประมวลกฎหมายอาญา เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังมีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขแดงที่ ๑๗๕๑/๒๕๕๙ ระหว่าง นาง ท. ผู้ฟ้องคดี องค์การบริหารส่วนตำบลช่องสาริกา ผู้ถูกฟ้องคดี ที่วินิจฉัยว่า การไม่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมดูแลสุนัขจรจัด เป็นการละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดด้วย
ข้อเท็จจริงในคดีหมายเลขแดงที่ ๑๗๕๑/๒๕๕๙ คือ ผู้ฟ้องคดีมีอาชีพเลี้ยงนกกระจอกเทศมาเป็นเวลา ๑๐ ปี ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีสุนัขจรจัดซึ่งอาศัยอยู่บริเวณบ่อขยะของผู้ถูกฟ้องคดี มาไล่กัดนกกระจอกเทศของผู้ฟ้องคดีเป็นประจำ จนทำให้นกกระจอกเทศตายเหลือน้อยลง และการรบกวนดังกล่าว ทำให้นกกระจอกเทศมีไข่น้อยลง จึงเรียกค่าเสียหายจากการขาดผลผลิตไข่ ๑๕๐,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายจากนกกระจอกเทศตาย ๒๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นค่าเสียหาย ๑๗๕,๐๐๐ บาท
ศาลปกครองชั้นต้นได้แสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากปศุสัตว์อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี และปศุสัตว์จังหวัดลพบุรีแล้ว มีคำพิพากษาว่า การควบคุมและจำกัดจำนวนสุนัขจรจัดเป็น อำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.๒๕๓๕ ประกอบพระราชบัญญัติโรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๔๙๙ (กฎหมายที่ใช้ในขณะพิจารณาคดีนี้) เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีมิได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ จึงเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด จึงให้ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการควบคุมสุนัขจรจัดมิให้เป็นอันตรายต่อทรัพย์สินของประชาชนและมิให้รบกวนการประกอบอาชีพของประชาชนในเขตพื้นที่รับผิดชอบ รวมทั้งผู้ฟ้องคดีด้วย ปศุสัตว์อำเภอพัฒนานิคม และปศุสัตว์จังหวัดลพบุรี ยืนยันว่า ถ้านกกระจอกเทศตกใจหรือถูกรังแกทำร้ายจากสัตว์ชนิดใด นกกระจอกเทศจะจดจำ หากมีสุนัขจรจัดเข้ามาใกล้ อาจทำให้นกกระจอกเทศเกิดความเครียดและตื่นตกใจ ปกตินกกระจอกเทศแม่พันธุ์หนึ่งตัวจะออกไข่ปีละ ๔๐ ฟอง ถึง ๘๐ ฟอง หรือ ๑๐๐ ฟอง
ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า การละเลยไม่ดำเนินการกับสุนัขจรจัดของผู้ถูกฟ้องคดี ทำให้ปริมาณไข่นกกระจอกเทศลดน้อยละจากปีละ ๑,๕๐๐ ฟอง คงเหลือประมาณ ๖๐๓ ฟอง ส่วนกรณีนกกระจอกเทศตายเป็นผลจากการที่ผู้ฟ้องคดีไม่คอยสังเกตการกินเม็ดกรวดทรายของนกกระจอกเทศมากเกินไป จนทำให้ไปอุดตันในระบบทางเดินอาหาร กรณีเป็นผลมาจากการขาดความระมัดระวังของผู้ฟ้องคดีเอง จึงให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการขาดร้ายได้จากไข่นกกระจอกเทศเป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท
ผู้ถูกฟ้องคดียื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาว่า คดีนี้มี ๒ ข้อหา
ข้อหาที่ ๑ ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีละเลย
ตอนที่แล้ว ..... ผมพูดถึงเรื่องพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๗ มีเจตนารมณ์คุ้มครองทั้งคนและสัตว์ และทิ้งท้ายเรื่องมีกฎหมายอื่นอีกหลายฉบับ ที่อาจนำมาใช้ในการจัดการกับสุนัขจรจัดได้
เรามาดูกันครับ ว่ามีกฎหมายอะไรอีกบ้างที่ใช้จัดการกับสุนัขจรจัดได้บ้าง และมีวิธีการจัดการ อย่างไรบ้าง
พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นกฎหมายที่ใช้บริหารจัดการเกี่ยวกับการ อนามัยและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเกี่ยวพันกับความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อมของมนุษย์อย่างใกล้ชิด เนื้อหากฎหมายที่สำคัญที่เกี่ยวกับอนามัยและสิ่งแวดล้อม คือ หมวดการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย หมวดสุขลักษณะของอาคาร หมวดเหตุรำคาญ หมวดการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ หมวดกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หมวดตลาด สถานที่จำหน่ายอาหารและสถานที่สะสมอาหาร และหมวดการจำหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ หมวดที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสุนัขจรจัด คือ หมวดการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์
กฎหมายการสาธารณสุข มาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง ให้อำนาจราชการส่วนท้องถิ่นในการออกข้อบัญญัติท้องถิ่นกำหนดให้ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของพื้นที่ในเขตอำนาจของราชการส่วน ท้องถิ่นนั้น เป็นเขตควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ เพื่อประโยชน์ในการรักษาสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพของประชาชนในท้องถิ่น หรือเพื่อป้องกันอันตรายจากเชื้อโรคที่เกิดจากสัตว์ การออกข้อบัญญัติท้องถิ่นดังกล่าว วรรคสองของมาตรา ๒๙ ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจ กำหนดให้เป็นเขตห้ามเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์บางชนิดหรือบางประเภทโดยเด็ดขาด หรือห้ามเลี้ยงเกินจำนวนที่กำหนด หรือเป็นเขตที่การเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์บางชนิดหรือบางประเภทต้อง อยู่ภายใต้มาตรการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
เมื่อมีการออกข้อบัญญัติท้องถิ่นแล้ว เจ้าพนักงานท้องถิ่นได้พบสัตว์ในที่หรือทางสาธารณะ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๒๙ โดยไม่ปรากฏเจ้าของแล้ว มาตรา ๓๐ ได้กำหนดวิธีปฏิบัติของเจ้าพนักงานท้องถิ่นไว้ คือ ๑. ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจกักสัตว์ดังกล่าวไว้ เป็นเวลาอย่างน้อยสามสิบวัน ๒. เมื่อพ้นสามสิบวันแล้ว ไม่มีผู้ใดมาแสดงหลักฐานการเป็นเจ้าของเพื่อรับสัตว์กลับคืน ให้สัตว์นั้นตกเป็นของราชการส่วนท้องถิ่น ๓. ถ้าการกักสัตว์ไว้ อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่สัตว์นั้น หรือสัตว์อื่น หรือต้องเสียค่าใช้จ่ายเกินสมควร เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะจัดการขายหรือขายทอดตลาดสัตว์นั้นตามควรแก่กรณีก่อนถึงกำหนดเวลาดังกล่าวก็ได้ เงินที่ได้จากการขายหรือขายทอดตลาดเมื่อได้หักค่าใช้จ่ายในการขายหรือขายทอดตลาดและค่าเลี้ยงดูสัตว์แล้ว ให้เก็บรักษาไว้แทนสัตว์
๔. ในกรณีที่ยังมิได้มีการขายหรือขายทอดตลาดสัตว์ และเจ้าของสัตว์มาขอรับสัตว์คืนภายในกำหนดเวลาสามสิบวันดังกล่าวมาข้างต้น เจ้าของสัตว์ต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายสำหรับการเลี้ยงดูสัตว์ให้แก่ราชการส่วนท้องถิ่นตามจำนวนที่ได้จ่ายจริง ๕. ในกรณีที่สัตว์นั้น เป็นโรคติดต่อ อันอาจเป็นอันตรายต่อประชาชน เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจทำลายหรือจัดการตามที่เห็นสมควรได้
กรณีที่มีการฝ่าฝืนข้อบัญญัติท้องถิ่นซึ่งออกตามความในมาตรา ๒๙ เกี่ยวกับการควบคุมการ เลี้ยงหรือปล่อยสัตว์แล้ว ผู้ฝ่าฝืนอาจต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นห้าพันบาทตามมาตรา ๗๓ แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕
เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๔๘ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นราชการส่วนท้องถิ่น ได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ ออกประกาศใช้ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสุนัข พ.ศ. ๒๕๔๘ สาระสำคัญอยู่ในข้อ ๗ และข้อ ๘ กล่าวคือ ข้อ ๗ ให้กรุงเทพมหานครเป็นเขตควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสุนัข ข้อ ๘ ห้ามมิให้ผู้ใดปล่อยสุนัขในที่หรือทางสาธารณะ หรือในที่อื่นใดในเขตกรุงเทพมหานครโดยเด็ดขาด
คำว่า "การปล่อยสุนัข" บทนิยามในข้อ ๕ หมายความว่า การสละการครอบครองสุนัข หรือ ปล่อยให้อยู่นอกสถานที่เลี้ยงโดยปราศจากการควบคุม ดังนั้น ในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นเขตที่ควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสุนัข ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๘ ผมไม่แน่ใจว่า คนเลี้ยงสุนัขในเขตกรุงเทพมหานครทุกคนทราบกันดีหรือยัง ว่าต้องปฏิบัติตามข้อบัญญัติฉบับนี้
การควบคุมการเลี้ยงสุนัขหรือปล่อยสุนัขตามมาตรการในข้อบัญญัติคือ การนำสุนัขหรือใบรับรองรูปพรรณสัณฐานสุนัข และการจัดทำเครื่องหมายระบุตัวสุนัขอย่างถาวร เช่น การฝังไมโครชิป เป็นต้น ซึ่งออกโดยสถานพยาบาลสัตว์ในเขตกรุงเทพมหานครที่ได้รับอนุญาตตาม กฎหมายว่าสถานพยาบาลสัตว์ ไปจดทะเบียนสุนัข ณ สำนักงานเขตพื้นที่ หรือสถานที่อื่นใดตามที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกำหนด หรือจดทะเบียนที่กองสัตวแพทย์สาธารณสุข สำนักอนามัย หรือสถานที่อื่นใดตามที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกำหนด จะไปจดทะเบียนเองหรือมอบอำนาจให้ผู้อื่นไปทำการแทนก็ได้ (ข้อ ๙ ข้อ ๑๐) กำหนดระยะเวลาที่จดทะเบียนภายใน ๑๒๐ วันนับแต่วันที่สุนัขเกิด หรือภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่นำสุนัขมาเลี้ยงในเขตกรุงเทพมหานคร (ข้อ ๙)
เมื่อจดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว เจ้าของสุนัขจะได้รับบัตรประจำตัวสุนัข เพื่อแสดงการจดทะเบียนสุนัข (ข้อ ๑๑) ถ้าย้ายที่อยู่สุนัข เจ้าของสุนัขต้องแจ้งต่อหน่วยงานรับจดทะเบียนตามที่กล่าวมาข้างต้นภายใน ๓๐ วัน (ข้อ ๑๒) บัตรประจำตัวสุนัขหาย ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ ก็ต้องแจ้งภายในกำหนดเวลาเดียวกัน (ข้อ ๑๒)
กรณีที่สุนัขนั้น ไม่ใช่สุนัขควบคุมพิเศษ หมายถึง ไม่ใช่สุนัขพันธุ์ที่ดุร้าย เช่น พิทบูลเทอเรีย บูลเทอเรีย สเตฟฟอร์ดเชอร์บูลเทอเรีย รอทไวเลอร์ และฟิล่าบราซิลเรียโร แต่สุนัขไปทำร้ายคน หรือพยายามทำร้ายคน เจ้าของสุนัขต้องแจ้งต่อหน่วยงานที่รับจดทะเบียนดังกล่าวมาข้างต้น เพื่อเปลี่ยนสาระสำคัญของบัตรประจำตัวสุนัข ให้เป็นสุนัขควบคุมพิเศษ โดยต้องแจ้งภายใน ๓๐ วัน แต่ถ้าทำร้ายคนแล้ว ให้แจ้งทันที (ข้อ ๑๒)
ถ้าสุนัขตาย เจ้าของสุนัขต้องแจ้งต่อหน่วยงานที่จดทะเบียนไว้ ภายใน ๓๐ วันเช่นกัน (ข้อ ๑๓)
ถ้าสุนัขหาย เจ้าของสุนัขต้องแจ้งต่อหน่วยต่อหน้าที่โดยไม่ดำเนินการกับสุนัขจรจัดที่อยู่บริเวณบ่อขยะของผู้ถูกฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสือลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๓ และ ๓ มีนาคม ๒๕๕๔ ถึงผู้ถูกฟ้องคดี เพื่อขอให้ดำเนินการกับสุนัขจรจัดดังกล่าว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีมิได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแต่อย่างใด ผู้ฟ้องคดียังคงได้รับความเดือดร้อนเสียหายตลอด มาจนถึงวันที่ยื่นฟ้องคดีนี้ เมื่อผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องเมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๕
จึงถือว่าผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องภายในระยะเวลาเก้าสิบวันนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี หรือนับแต่วันที่พ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอต่อหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมาย กำหนดและไม่ได้รับหนังสือชี้แจงจากหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือได้รับแต่เป็นคำชี้แจงที่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าไม่มีเหตุผลแล้วแต่กรณี เว้นแต่จะมีบทกฎหมายเฉพาะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นตามมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อหาที่ ๒ ผู้ฟ้องคดีขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ จนถึงวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันยื่นฟ้องคดี แต่เนื่องจากช่วงระยะเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ จนถึงวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๔ เป็นการยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีตามมาตรา ๕๑ แห่งพะราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธี พิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ผู้ฟ้องคดีคงฟ้องเรียกให้ผู้ถูกฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าเสียหายได้เฉพาะในช่วงวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๕ อันเป็นวันที่ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องคดีนี้เท่านั้น
ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า สุนัขเป็นสัตว์ควบคุมตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติโรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งควรจะต้องมีเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ เมื่อมีการพบเห็นสุนัขในบริเวณบ่อขยะของผู้ถูกฟ้องคดี โดยไม่ปรากฏเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ เจ้าพนักงานท้องถิ่นย่อมมี อำนาจจับสัตว์ควบคุมนั้น เพื่อกักขัง ถ้าไม่มีเจ้าของมาขอรับคืนภายในห้าวัน พนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจทำลายสัตว์ควบคุมนั้นได้ตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
แต่ผู้ถูกฟ้องคดีมิได้ดำเนินการควบคุมสุนัขจรจัดดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการรักษาสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพของประชาชนในท้องถิ่นหรือเพื่อป้องกันอันตรายจากเชื้อโรคที่เกิดจากสัตว์ตามมาตรา ๒๙ และมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือเพื่อป้องกันโรคและระงับโรคติดต่อ หรือคุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือเพื่อบำรุงและส่งเสริมการประกอบอาชีพของราษฎรในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลตามมาตรา ๖๗ และมาตรา ๖๘ แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ แต่อย่างใด กรณีจึงถือได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ
เมื่อสุนัขจรจัดเข้ามารบกวน ทำให้นกกระจอกเทศออกไข่ได้เพียง ๖๐๖ ฟอง หรือโดยเฉลี่ย ๓๔ ฟองต่อตัวต่อปี ในขณะที่คำชี้แจงของปศุสัตว์อำเภอพัฒนานิคม และปศุสัตว์จังหวัดลพบุรี ได้ความว่า ปกติแม่นกกระจอกเทศ ๑ ตัว จะออกไข่ปีละ ๔๐ ฟอง ถึง ๘๐ ฟอง หรืออาจได้สูงสุดถึง ๑๐๐ ฟอง ทำให้ผู้ฟ้องคดีมีรายได้จากการประกอบอาชีพลดลง อันเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี
ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า แม่นกกระจอกเทศ ๑ ตัวจะออกไข่โดยเฉลี่ยปีละ ๖๐ ฟอง ผู้ฟ้องคดีมีนกกระจอกเทศแม่พันธ์ จำนวน ๑๘ ตัว จำนวนไข่ที่ได้รับในระยะเวลา ๑ ปี คือ ๑,๐๘๐ ฟอง แต่เมื่อมีสุนัขจรจัดเข้ามารบกวนการออกไข่ของนกกระจอกเทศ จนไม่ออกไข่ตามปกติ พิจารณาจากบันทึกการเก็บไข่ในระหว่างวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๕ ปรากฏว่าเก็บไข่ได้เพียง ๖๐๙ ฟอง ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีจึงขาดไข่ที่ควรได้รับอีก ๔๑๖ ฟอง เมื่อผู้ฟ้องคดีนำไปขายให้แก่บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อีสาน จำกัด(มหาชน) ในราคาฟองละ ๓๐๐ บาท ผู้ฟ้องคดีจึงมีค่าเสียหายที่ขาดรายได้จากการขายไข่นกกระจอกเทศตามจำนวนที่ควรจะได้ คิดเป็นเงินจำนวน ๑๓๘,๓๐๐ บาท
ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายจากการขาดรายได้ในการขายไข่นกกระจอกเทศเป็นเงิน ๑๓๘,๓๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น และให้คืนค่าธรรมเนียมศาลในชั้นต้นให้แก่ผู้ฟ้องคดี และในชั้นอุทธรณ์ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีตามส่วนของการชนะคดี
จากแนวคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดทั้งสองคดีดังกล่าว สรุปได้ว่าเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นผู้รับผิดชอบในกรณีสุนัขจรจัดรุมกัดเด็ก
นอกจากกฎหมายที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีพระราชบัญญัติโรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่กำหนดให้เจ้าของสัตว์ต้องจัดการให้สัตว์ควบคุม ซึ่งหมายถึง สุนัขหรือสัตว์อื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงต้องได้รับการฉีดวัคซีน และมีเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ ซึ่งแสดงว่าได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว พร้อมใบรับรองการฉีดวัคซีนแก่เจ้าของสัตว์ควบคุม โดยให้อำนาจสัตวแพทย์ และพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเจ้าพนักงานท้องถิ่น เข้าแก้ไขปัญหาโรคพิษสุนัขบ้า รวมถึงการทำลายสัตว์ควบคุมที่มีอาการของโรคพิษสุนัขบ้าด้วย และในที่สาธารณะ ถ้าปรากฏว่าสัตว์ควบคุมใดมีอาการของโรคพิษสุนัขบ้า พนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจทำลายสัตว์ควบคุมได้
กฎหมายที่อาจนำมาใช้ในการจัดการกับสุนัขจรจัดได้อีกหนึ่งฉบับ คือ พระราชบัญญัติโรค ระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งให้ความหมายคำว่า "สัตว์" หมายความว่า ช้าง ม้า โค กระบือ ลา ล่อ แพะ แกะ กวาง สุกร หมูป่า สุนัข แมว กระต่าย ลิง ชนี รวมถึงน้ำเชื้อสำหรับผสมพันธุ์ และเอ็มบริโอ(ตัวอ่อน)ของสัตว์เหล่านั้นด้วย หมายความถึงสัตว์ปีกจำพวกนก ไก่ เป็ด ห่าน รวมถึงน้ำเชื้อสำหรับผสมพันธุ์ และไข่สำหรับใช้ทำพันธุ์ด้วย และสัตว์ชนิดอื่นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศกำหนด และรวมถึงน้ำเชื้อสำหรับผสมพันธุ์ เอ็มบริโอ และไข่ สำหรับใช้ทำพันธุ์ของสัตว์ชนิดนั้นด้วย
โดยอธิบดีกรมปศุสัตว์มีอำนาจประกาศให้ท้องที่ใดทั้งหมดหรือบางส่วน ที่เห็นสมควรให้มีการป้องกันและควบคุมโรคระบาดในสัตว์ชนิดใด ต้องมีการทำเครื่องหมายประจำตัวสัตว์สำหรับสัตว์หรือซากสัตว์ชนิดนั้น ซึ่งเจ้าของสัตว์ต้องปฏิบัติตามระบบการป้องกันและควบคุมโรคระบาด หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกำหนดจำนวนสัตว์ หรือซากสัตว์ ลักษณะของยานพาหนะ และอุปกรณ์ในการเคลื่อนย้ายสัตว์หรือซากสัตว์ และมีอำนาจประกาศเขตโรคระบาดสัตว์ด้วย เมื่อมีสัตว์ตาย เจ้าของสัตว์ต้องแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สารวัตร หรือสัตวแพทย์ ภายในเวลาสิบสองชั่วโมงนับแต่เวลาที่ทราบว่าสัตว์ป่วยหรือตาย ไม่ว่าจะรู้ว่าตายเพราะเป็นโรคระบาด หรือไม่รู้สาเหตุ หรือในหมู่บ้านเดียวกัน หรือบริเวณใกล้เคียงกัน มีสัตว์ป่วยหรือตายมีอาการคล้ายคลึงกันในระยะเวลาห่างกันไม่เกินเจ็ดวัน ในกรณีที่สัตว์ไม่ปรากฏเจ้าของป่วยหรือตายในที่ดินของบุคคลใด โดยรู้ว่าเป็นโรค ระบาด หรือไม่รู้สาเหตุ เจ้าของที่ดินมีหน้าที่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สารวัตร หรือสัตวแพทย์ และสัตวแพทย์มีอำนาจตรวจสัตว์หรือซากสัตว์ รวมถึงการออกคำสั่งเป็นหนังสือให้เจ้าของสัตว์หรือซากสัตว์ กักขัง แยก
หรือย้ายสัตว์ป่วย หรือสงสัยว่าป่วย, ฝัง หรือเผาซากสัตว์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน, กักขัง แยก หรือย้ายสัตว์ที่อยู่ร่วมฝูง หรือเคยอยู่ร่วมฝูงกับสัตว์ที่ป่วยหรือสงสัยว่าป่วยหรือตาย, ทำลายสัตว์ที่เป็นโรคระบาด หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคระบาด หรือสัตว์หรือซากสัตว์ที่เป็นพาหะของโรคระบาด,กำจัดเชื้อโรคที่อาหารสัตว์หรือซากสัตว์ที่เป็นพาหะของโรคระบาด และทำความสะอาดและทำลายเชื้อโรคระบาดในที่ที่มีเชื้อโรคระบาดหรือสงสัยว่ามีเชื้อโรคระบาด เป็นต้น
กฎหมายทั้งสองฉบับดังกล่าว ใช้จัดการกับสุนัขจรจัดที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า หรือป่วยเป็นโรคระบาดสัตว์ได้ครับ
บทความโดย : นายเจษฎา อนุจารี ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย(TSPCA)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี