เป็นอีกประเด็นที่ต้องติดตามกันว่าลงท้ายแล้ว “จะมีการห้ามขายเหล้าในวันสงกรานต์หรือไม่?” หลังจากที่ นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะรองประธานกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เปิดเผยเมื่อ 15 ก.พ. 2562 ว่ามีข้อเสนอ “ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันที่ 13 เมษายนของทุกปี” โดยให้เหตุผลว่าเป็นวันที่เกิดอุบัติเหตุสูงสูดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ หากไม่ขายก็จะลดการดื่มและลดอุบัติเหตุ
ซึ่ง นพ.สุขุม ระบุว่า เตรียมนำข้อเสนอดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน หากได้รับความเห็นชอบก็จะประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากประชาชนคนไทย มีการวิพากษ์วิจารณ์ผ่านสื่อออนไลน์มากมายทำนองขัดกับวิถีชีวิตที่เทศกาลสงกรานต์คือการเฉลิมฉลองสังสรรค์ และเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด แทนที่จะไปเน้นดำเนินคดีจริงจังกับผู้ที่ดื่มแล้วขับโดยไม่ให้นักดื่มที่เป็นสุจริตชนได้รับผลกระทบจะดีกว่าหรือไม่?
นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เสนอห้ามขายเหล้าวันที่ 13 เมษายน ของทุกปี
ที่มา : ปชช.ฮือต้านมาตรการห้ามขายเหล้าวันสงกรานต์ แม้ปลัดสธ.ชี้ควรทำเพื่อลดอุบัติเหตุ
พูดถึงเรื่อง “น้ำเมา” ไม่ว่าเหล้า เบียร์ ไวน์ ฯลฯ ต้องยอมรับว่าอยู่คู่กับมนุษยชาติมาตั้งแต่เริ่มก่อร่างสร้างอารยธรรม ไม่ว่าทวีปไหนดินแดนใดที่มนุษย์ไปตั้งบ้านเมืองย่อมมีการพัฒนาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามบริบทของพื้นที่ขึ้นมาและเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมชาตินั้นๆ ดังรายงานพิเศษ “Where is the world's hardest-drinking city?” (รู้หรือไม่!..คนเมืองไหนดื่มหนักที่สุด?) ที่เผยแพร่เมื่อ 13 มี.ค. 2562 เว็บไซต์ นสพ.The Guardian ของอังกฤษ
รายงานเปิดด้วยคำพูดของ ดาเรีย เมชเชอยาโควา (Daria Meshcheryakova) ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นในกรุงเคียฟ (Kiev) เมืองหลวงของประเทศยูเครน ว่า “ที่เคียฟ..การดื่มเป็นสัญลักษณ์ของลูกผู้ชาย (Masculinity)” และผู้คนไม่เข้าใจว่าตั้งแต่ช่วงเย็นหรือในวันหยุดพวกเขาจะอยู่โดยไม่เมาได้อย่างไร สืบเนื่องจากสภากรุงเคียฟเพิ่งลงมติผ่านกฎหมายห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่เวลา 23.00 - 10.00 น. เพื่อหวังลดพฤติกรรมการดื่มแบบติดต่อเนื่องกันตลอดทั้งคืน
ทั้งนี้ ดาเรีย มองว่า หากชาวเคียฟจะบริโภคน้ำเมาลดลงคงเป็นเพราะค่านิยมที่เปลี่ยนไปมากกว่า โดยปัจจุบันประชากรที่ดื่มมากที่สุดคือกลุ่มชายวัยกลางคน ในขณะที่หนุ่มๆ รุ่นใหม่หันเหความสนใจไปหาอินเตอร์เน็ตแทน ซึ่งที่ผ่านมา ยูเครนเป็น 1 ในชาติที่ผู้คนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก จากการจัดอันดับโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) อนึ่ง..นอกจากยูเครนแล้ว เกาหลีใต้ เวียดนาม โปรตุเกส ก็พบการดื่มหนักกว่าประเทศข้างเคียง รวมถึงออสเตรเลีย แคนาดา และทวีปยุโรป ก็พบการดื่มมากอย่างมีนัยสำคัญ
นักท่องเที่ยวกำลังดื่มสังสรรค์ ที่กรุงวิลนิอุส ประเทศลิธัวเนีย
ที่มา : The Guardian , Shutterstock
อาทิ ลิธัวเนีย เป็นประเทศที่องค์การอนามัยโลกระบุว่าผู้คนบริโภคน้ำเมามากที่สุดในกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) เฉลี่ยแล้วคน 1 คนจะบริโภคแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 15 ลิตรต่อปี หรือเท่ากับไวน์ชนิดความเข้มข้นร้อยละ 12 ถึง 167 ขวด โดยในเมืองหลวงอย่างกรุงวิลนิอุส (Vilnius) เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญแห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่อาจเทียบชั้นเมืองอื่นๆ ของโลกในด้านการดื่มหนัก
อย่างไรก็ตาม ซิวิล รัสเกาสไกท์ (Ziville Raskauskaite) ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นในลิธัวเนีย ระบุว่า “พฤติกรรมการดื่มของคนลิธัวเนียในเมืองหลวงไม่น่าห่วงเท่าคนในชนบทที่มีเวลาว่างมากกว่า” ซึ่งมีข้อมูลอ้างอิงจากผลการศึกษาของสหพันธ์ธุรกิจลิธัวเนีย (Lithuanian Business Confederation) พบว่า ชาวลิธัวเนียที่อาศัยอยู่ในชนบทมีปัญหาเกี่ยวกับการดื่มเครื่องดื่มมึนเมามากกว่าชาวเมืองหลวงถึง 2 เท่า
ขณะที่ในสหรัฐอเมริกา แม็กซ์ กริสโวลด์ (Max Griswold) ผู้ศึกษาพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอล์มาตั้งแต่ปี 2523 กล่าวว่า “ศาสนา วัฒนธรรม สังคมและเศรษฐกิจมีผลต่อพฤติกรรมการดื่มของชาวอเมริกัน” เช่น เมืองนิวยอร์ก (New York) และเมืองลอส แองเจลิส (Los Angeles) ผู้คนมีอัตราการดื่มสูงกว่ามลรัฐยูทาห์ (Utah) เนื่องจากชาวอเมริกันในยูทาห์นั้นจำนวนมากนับถือศาสนาคริสต์นิกายมอร์มอน ซึ่งเคร่งครัดในเรื่องการไม่บริโภคน้ำเมา
ผู้คนกำลังดื่มสังสรรค์ในร้านเหล้าแห่งหนึ่งที่ห่างจากใจกลางกรุงเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ ราว 15 กิโลเมตร
ที่มา : The Guardian , AFP , Getty Images
ส่วนที่ทวีปแอฟริกา งานวิจัยของมหาวิทยาลัยเคปทาวน์ (University of Cape Town) ประเทศแอฟริกาใต้ พบปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กระทบต่อประชากรวัยผู้ใหญ่ถึง 1 ใน 7 ซึ่งชาวแอฟริกาใต้มีการบริโภคน้ำเมาสูงเป็นอันดับต้นๆ ของทวีป ปัจจัยสำคัญคาดว่ามาจากสภาพเศรษฐกิจที่ดี โดย มุนยา ชุมบา (Munya Shumba) ผู้ทำงานด้านการเงินที่พักอาศัยในเมืองโจฮันเนสเบิร์ก (Johannesburg) เมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ระบุว่า
“ที่โจฮันเนสเบิร์ก และเมืองหลวงอย่างกรุงเคปทาวน์ ผู้คนจะมีพฤติกรรมการดื่มไม่ต่างจากกรุงลอนดอน (London) เมืองหลวงของอังกฤษ และเมืองนิวยอร์กของสหรัฐอเมริกา” เช่น มีเหล้าและเบียร์ยี่ห้อเดียวกัน และผับหรือบาร์จะเต็มเสมอในวันดีๆ หลังเลิกงาน ทั้งนี้การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กลายเป็นปัญหาของทวีปแอฟริกา อาทิ ในประเทศนามิเบีย พบว่าตั้งแต่ 1 ม.ค. - 4 ต.ค. 2559 มีผู้เดินเท้าถูกรถชนเสียชีวิต 147 ศพ และบาดเจ็บ 832 คน โดยผู้ประสบอุบัติเหตุจำนวนมากเป็นคนเมาทั้งที่เดินเท้าและขับขี่ยานพาหนะ ทำให้ไม่สามารถครองสติได้
“โซจู” น้ำเมาพื้นเมืองในวัฒนธรรมของชาวเกาหลี
ที่มา : myhubs.org
“ในทวีปเอเชีย บางเมืองนั้นมีวัฒนธรรมการดื่มเพื่อสร้างสัมพันธภาพของหมู่คณะ”..เช่นที่ กรุงโซล (Seoul) เมืองหลวงของเกาหลีใต้ “คนเกาหลีชอบดื่มโซจู” (Soju) เหล้าพื้นบ้านที่หมักจากข้าวซึ่งมีแอลกอฮอล์ร้อยละ 20 งานวิจัยจาก Euromonitor พบว่าชาวแดนกิมจินั้นบริโภคน้ำเมาเฉลี่ยคนละ 13.7 แก้วช็อต (Shot) ต่อสัปดาห์ ซึ่งมากกว่าชาวรัสเซียที่ว่ากันว่าดื่มหนักอย่างบ้าคลั่งเสียด้วยซ้ำไป
พฤติกรรมการดื่มหนักของชาวเกาหลีใต้นั้นทำให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนพยายามเปลี่ยนค่านิยมการดื่มหลังเลิกงาน อาทิ หลายบริษัทใช้กฎ “1 - 1 - 9” หมายถึงการดื่มหลังเลิกงานควรดื่มแค่รอบเดียว ในสถานที่เดียว และเลิกก่อนเวลา 21.00 น. (หรือก็คือไม่มีการไปดื่มต่อหลายที่และไม่ดื่มจนดึกดื่น) “ซึ่งความพยายามเปลี่ยนค่านิยมนี้ยังอาจได้ผลในรัสเซีย ประเทศที่ว็อดก้า (Vodka) เป็นเหล้าที่คนในชาติภูมิใจ” เพราะพบว่าผู้คนดื่มแอลกอฮอล์ลดลง
ชายชาวรัสเซียซด “ว็อดก้า” ขณะกำลังเล่นสกีในฤดูหนาว
ที่มา : The Guardian , AP
อย่างไรก็ตาม “สำนักข่าว BBC ของอังกฤษ เคยตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว แล้วพบว่ายอดขายน้ำเมาในแดนหมีขาวยังคงสูง” ส่วนในดินแดนภารตะอย่าง อินเดีย พบว่าตลาดเหล้าวิสกี้ (Whisky) เติบโตขึ้นจนเป็นประโยชน์ต่อการส่งออกวิสกี้จากประเทศที่ขึ้นชื่อด้านนี้อย่าง สก็อตแลนด์ แม้ค่าเฉลี่ยการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของชาวอินเดียจะไม่สูงนัก แต่ในบางเมืองก็พบผู้ดื่มเพิ่มขึ้น เช่นเมืองมุมไบ (Mumbai) และเมืองเดลี (Delhi)
แม็กซ์ กริสโวลด์ ระบุว่า “การลิ้มลองวิสกี้กำลังได้รับความนิยมในมุมไบและเมืองใหญ่อื่นๆ ของอินเดีย โดยเฉพาะในกลุ่มหญิงวัย 55 ปีขึ้นไป” ซึ่งน่าประหลาดใจที่ไม่พบข้อมูลแบบเดียวกันในประเทศอื่น คือกรณีหญิงที่เริ่มดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เมื่ออายุมากขึ้น “ทั้งนี้จากข้อมูลทั้งหมด..ท้ายที่สุดแล้ว รายงานของ The Guardian ไม่สรุปว่าคนเมืองไหนหรือประเทศใดเป็นคอน้ำเมาตัวจริงอันดับ 1 ของโลก” อาจเป็นกรุงโซลของเกาหลีใต้เพราะเป็นวัฒนธรรมการบริโภคของเมือง หรืออาจเป็นกรุงเคียฟของยูเครนที่มองการดื่มเป็นสัญลักษณ์ของลูกผู้ชาย
ดาเรีย เมชเชอยาโควา กล่าวว่า ชาวยูเครนหลายคนนิยมซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากร้านค้าซึ่งมีราคาถูกแล้วมานั่งดื่มตามม้านั่งริมถนน แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่สามารถรับรู้พฤติกรรมการดื่มได้เพราะดื่มในพื้นที่ส่วนตัว อนึ่ง..สถานบันเทิงยามค่ำคืนอาจเป็นเสน่ห์ของเมือง เช่นที่กรุงเบอร์ลิน (Berlin) เมืองหลวงของประเทศเยอรมนี พยายามปกป้องกิจการไนต์คลับ แต่อีกด้านการดื่มหนักก็ส่งผลกระทบต่อสังคม สุขภาพและเศรษฐกิจของเมืองได้เช่นกัน
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ระบุว่า ในทุกๆ ปีมีผู้เสียชีวิตจากการดื่มแอลกอฮอล์อย่างอันตรายจำนวน 3 ล้านศพ ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย เรื่องนี้ดูจะสอดคล้องกับกรณีของกรุงเคียฟ เพราะอายุไขเฉลี่ยของผู้ชายที่เมืองดังกล่าวอยู่ที่เพียง 64 ปีเท่านั้น ขณะที่ในสหรัฐอเมริกา พบความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการดื่มกับจำนวนอุบัติเหตุบนท้องถนน และมีการคำนวณว่าการดื่มหนักกระทบต่อค่าใช้จ่ายทางเศรษฐกิจถึง 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนในอังกฤษ ข้อมูลจากตำรวจเมื่อปี 2560 พบว่าการอนุญาตให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตลอด 24 ชั่วโมง ส่งผลต่อสถิติอาชญากรรมที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้รายงานข่าวได้ทิ้งท้ายว่า ท่าทีของรัฐบาลของเมืองต่างๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมการดื่มของประชาชน มีลักษณะพยายามรักษาสมดุลระหว่างสิทธิในการดื่มควบคู่ไปกับการรักษาความปลอดภัย ซึ่งมันอาจเป็นเรื่องยากก็ได้ที่ทั้ง 2 ด้านจะสามารถเดินไปด้วยกัน
สำหรับประเทศไทย มีรายงานว่าคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ จะพิจารณาข้อเสนอห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสงกรานต์ หรือ 13 เมษายน ของทุกปี ในวันที่ 15 มี.ค. 2562 ผลจะเป็นอย่างไรคงต้องรอติดตาม!!!
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-
ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.theguardian.com/cities/2019/mar/07/where-is-the-worlds-hardest-drinking-city
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี