10 เม.ย.62 ผู้สื่อข่าวทราบว่ามีชาวบ้านค้นพบรอยเท้าขนาดใหญ่คล้ายรอยพระพุทธบาทบนลานหิน ที่บ้านคับพวง หมู่4 ต.น้ำก่ำ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ใกล้กับถ้ำโบราณที่ชาวบ้านเรียกว่าถ้ำเสือ อยู่ริมถนนทางหลวงชนบทหมายเลข 2015 สายธาตุพนม-หว้านใหญ่ ซึ่งเป็นเส้นทางเลาะริมแม่น้ำโขง รอยต่อระหว่างอำเภอธาตุพนม จ.นครพนม กับ อำเภอหว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร
พื้นที่ดังกล่าวคล้ายเป็นสำนักสงฆ์ร้าง ส่วนใหญ่เป็นลานหินดาน เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่เศษ อยู่ใกล้กับแท็งค์น้ำประปาหมู่บ้านและโรงเรียนบ้านคับพวง พบพระประธานองค์ใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่บนลานหินและรูปปั้นเสือโคร่งนั่งหมอบอยู่ มีดอกไม้ธูปเทียน เห็นชาวบ้านจำนวนมากกำลังช่วยกันพัฒนา เบิกถางและก่อสร้างศาลาครอบรอยพระพุทธบาทที่ถูกค้นพบล่าสุด โดยมีลักษณะเป็นรอยเท้าข้างซ้าย มีนิ้วครบทั้งห้า ฝังอยู่บนหินดาน สอบถามนายกิ ทีระฆัง อายุ 72 ปี บ้านเลขที่ 116 หมู่ 4 บ้านคับพวง ทราบว่าเดิมบริเวณนี้เป็นป่ารกชัฏ ไม่มีใครกล้าเข้ามาโดยเฉพาะเวลากลางคืน
ก่อนพบรอยพระพุทธบาท นายกิเผยว่า ประมาณเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา มีพระมหาดานัย วัดสมสะอาด บ้านทรายมูล ต.น้ำก่ำ มาชี้บริเวณดังกล่าวว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซุกซ่อนมาแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งเป็นรอยพระพุทธบาทอยู่ในนี้ พวกชาวบ้านจึงช่วยกันค้นหา แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จึงมีมติว่าควรทำพิธีบวงสรวงขอขมาลาโทษ ในวันที่ 22 มี.ค. ที่บริเวณโค่นต้นประดู่ใกล้กับพระประธาน หลังบวงสรวงก็เดินหน้าค้นหารอยพระพุทธบาท ไม่นานก็มีลมพัดอู้เข้ามาจนเศษใบไม้ปลิวว่อน พอลมสงบก็เห็นรอยเท้าโผล่ลอยเด่นขึ้นชัด พวกตนจึงเชื่อว่าเทวดาเป็นผู้ชี้ทางให้ค้นพบ และช่วยกันเบิกถางจากป่ารกชัฏจนโล่งเตียนอย่างที่เห็น
นายกิ เล่าต่อว่า หลังค้นพบรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้ายแล้ว ได้มีเจ้าของสวนยางที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 500 เมตร บอกว่าเคยเห็นรอยเท้าลักษณะคล้ายกันนี้เป็นเบื้องขวาอยู่ในสวนยาง ตอนนี้ถูกดินกลบจนจำจุดที่พบไม่ได้ แต่พวกตนจะเดินหน้าค้นหารอยพระพุทธบาทที่เหลือให้เจอจนได้
และบริเวณที่ค้นพบรอยพระพุทธบาท มีถ้ำที่ถูกดินทรายปิดปากถ้ำจนสนิท อยู่ใต้ฐานพระประธาน ชาวบ้านเรียกว่าถ้ำเสือ ซึ่งนายสมบิน อัคฮาด อายุ 67 ปี บ้านเลขที่ 161 หมู่ 4 บ้านคับพวง เปิดเผยว่าสมัยอายุ 6-7 ขวบ เคยเข้ามาวิ่งเล่นกับเพื่อนภายในถ้ำประจำ มีลักษณะเป็นห้องโถงใหญ่และลึก ข้างในมีหนองน้ำและปลาชุกชุม เหตุที่ปากถ้ำถูกปิดเพราะจากการเจริญของชุมชน ตัดถนนหนทางจนทำให้บริเวณดังกล่าว กลายเป็นทางเดินน้ำ
หลังปากถ้ำปิดก็มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น มีหยดน้ำไหลซึมลงมาตลอดทั้งปี จึงเอาโอ่งดินมารองไว้ ชาวบ้านเรียกหยดน้ำนี้ว่าน้ำลายเจ้าพ่อถ้ำเสือ เชื่อว่านำไปดื่มหรือลูบตามร่างกาย สามารถบำบัดอาการเจ็บปวด เช่น ปวดหัว เจ็บแข้งขาได้
ด้านนายนิคม สวดบุรี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 บ้านคับพวง เผยว่าหมู่บ้านของตนเดิมเป็นป่าดงดิบ จึงมีสิงสาราสัตว์จำนวนมากอาศัยอยู่ เหตุที่เรียกถ้ำเสือเพราะมีคนเฒ่าคนแก่ ที่เคยเข้าไปภายในถ้ำเล่าให้ฟังว่า ถ้ำนี้มีความยาวไปทะลุริมฝั่งแม่น้ำโขง ถ้ำแห่งนี้มีแม่เสือมักจะใช้ในการออกลูกประจำ แต่หลังจากมีชุมชนเข้ามาตั้ง สัตว์ถูกล่าจากน้ำมือมนุษย์ ต้นไม้น้อยใหญ่ถูกตัดโค่นจนกลายเป็นชุมชน มีการถมดินขึ้นสูงเพื่อสร้างถนนลาดยาง ตรงบริเวณถ้ำเสือมีการวางท่อระบายน้ำ พอถึงฤดูฝนน้ำจะไหลผ่านถ้ำเสือ นำดินทรายไหลมาทับถมทางเข้าปากถ้ำ จนไม่สามารถเข้าไปห้องโถงของถ้ำได้
เหตุที่มีพระประธานองค์ใหญ่ เพราะมีชีปะขาวหรือชาวบ้านเรียกว่าหมอธรรมชื่ออาจารย์สว่างมาอาศัยอยู่ และรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ชาวบ้าน ต่อมาปี 2516 อาจารย์สว่างจึงสร้างพระประธานขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนกราบไหว้ ภายหลังอาจารย์สว่างได้ไปพำนักที่อื่น ตรงนี้จึงกลายเป็นสถานที่ที่พระธุดงค์มาปักกลด
“ตอนนี้ชาวบ้านกำลังเบิกถางและสร้างศาลาครอบรอยพระพุทธบาทไว้ เพื่อให้คนมากราบไหว้บูชา โดยใช้เงินของชาวบ้านและผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งยังขาดปัจจัยเป็นจำนวนมากในการใช้เครื่องมือขนาดใหญ่ และจะพัฒนาให้เป็นแหล่งเที่ยวของอำเภอธาตุพนมต่อไป” นายนิคมฯ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 กล่าว
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเร้นลับเกิดขึ้น โดยนายสุพรรณ ยะสุรีย์ อายุ 52 ปี และ นางสมบูรณ์ พลนารี อายุ 67 ปี เล่าเพิ่มเติมว่าเมื่อวันที่ 22 มี.ค. เป็นพิธีบวงสรวงขอขมาเจ้าที่เจ้าทางบริเวณโค่นต้นประดู่ และได้ค้นเจอรอยพระพุทธบาท และถึงวันที่ 24 มี.ค. เกิดสิ่งมหัศจรรย์เป็นลักษณะคล้ายตัวพญานาค ปรากฏอยู่บนเปลือกไม้ประดู่ ชาวบ้านจึงจุดธูปขอโชคขอลาภ งวดที่ผ่านมามีคนถูกลอตเตอรี่กันหลายคน แถมยังมีบางคนไปถูกหวยประเทศลาวที่ออกอาทิตย์ละครั้ง หรือหวยเวียดนามที่ออกทุกวันอีกด้วย
เหตุที่ชื่อว่าบ้านคับพวง เพราะในอดีตในสายลำน้ำโขง จะมีเรือสินค้าแล่นผ่านประจำ โดยมักจะสร้างหลังคาไม้ไผ่ไว้กันแดดกันฝน ชาวบ้านจะเรียกหลังคานี้ว่าพวงเรือ บริเวณตรงกลางแม่น้ำโขงจะมีแก่งหินธรรมชาติขึ้นขวางทางเดินเรือ ถ้าเป็นเรือเล็กจะแล่นผ่านแก่งหินได้ แต่ถ้าเป็นเรือสินค้าใหญ่จะแล่นผ่านไม่ได้ ชาวบ้านจึงเรียกว่าคับพวง หรือเรือคับพวง กาลเวลาผ่านไปมีการตั้งชื่อหมู่บ้าน จึงนำคำว่าคับพวงมาตั้ง ส่วนบริเวณแก่งที่เรือแล่นผ่านไม่ได้ ก็เรียกว่าแก่งคับพวงมาจนถึงปัจจุบัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี