“โจรปล้นสิบครั้งยังไม่เท่าไฟไหม้ครั้งเดียว” เป็นสำนวนโบราณเปรียบเทียบว่าการถูกจี้ปล้นนั้นมิจฉาชีพอาจเอาทรัพย์สินหลายอย่างไปได้ อย่างน้อยที่สุดก็ยังเหลือบ้านไว้เป็นที่ซุกหัวนอน แต่เหตุเพลิงไหม้หรือ “อัคคีภัย” นั้นทำให้ไม่เหลือแม้แต่ที่อยู่อาศัย และบ่อยครั้งพระเพลิงยังเผาผลาญทรัพย์สินอื่นๆ ไปด้วย ดังนั้นผู้ที่ประสบภัยนี้จึงมักแทบ “สิ้นเนื้อประดาตัว” ไปโดยปริยาย
สืบเนื่องจากมีเหตุเพลิงไหม้ที่เป็นข่าวใหญ่ 2 ข่าวในรอบ 1 เดือน คือเหตุเพลิงไหม้อาคารโรงแรมและห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ย่านราชประสงค์ กรุงเทพฯ กับเหตุเพลิงไหม้มหาวิหารนอทเทอร์ดาม ศาสนสถานอายุเกือบพันปี ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) จึงจัดเสวนา “ถอดบทเรียนไฟไหม้จากศูนย์การค้า...ถึง
มหาวิหารนอทเทอร์ดาม” ที่อาคาร วสท. ซอยรามคำแหง 39 ย่านบางกะปิ กรุงเทพฯ เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อให้ความรู้กับประชาชนในการป้องกันความสูญเสียจากอัคคีภัย
พิชญะ จันทรานุวัฒน์ เลขาธิการ วสท. กล่าวถึงกรณีเหตุเพลิงไหม้ห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางกรุงเทพฯ ว่า ลักษณะการลุกไหม้เป็นการลุกไหม้ภายในท่อลมจากชั้น B2 และต่อเนื่องลุกลามออกมาแต่ยังอยู่ภายในปล่องแนวตั้งที่ก่อสร้างปิดล้อมด้วยการก่ออิฐต่อเนื่องจากชั้น B1 ไปถึงชั้น 8 ซึ่งปลายปล่องที่ชั้น B1 ไม่ได้มีการปิดปลายของปล่องไว้ตามมาตรฐานที่ใช้ในปัจจุบัน บริเวณจุดต้นเพลิงชั้น B2 ไม่มีหัวสปริงเกอร์ที่ใช้ในการควบคุมการลุกลามของเพลิงไหม้ จึงทำให้เพลิงได้ขยายตัวออกจากจุดต้นเพลิงได้
ประกอบกับบริเวณจุดต้นเพลิงมีระบบ Wet Scrubber และท่อระบายอากาศเสียจากบ่อบำบัดน้ำเสียที่ทำจากไฟเบอร์กลาสเรซิ่นที่สามารถติดไฟได้เดินท่อระบายต่อเนื่องไปจนถึงชั้น 8 ซึ่งขณะเกิดเหตุมีการใช้พัดลมระบายอากาศเสียแต่ Wet Scrubber ไม่ได้ใช้งานมานาน ทั้งนี้ การออกแบบระบบท่อสำหรับอาคารขนาดใหญ่ที่ดีควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้ 1.ระบบระบายอากาศและท่อระบายอากาศเสีย ต้องใช้วัสดุที่ไม่ติดไฟ หรือวัสดุที่ติดไฟยากและมีพลังงานความร้อนคายออกมาต่ำเมื่อเกิดไฟแล้ว
2.ช่องท่อ (SHAFT) สำหรับงานท่อลม ต้องติดตั้ง Fire Damper เมื่อท่อลมต้องต่อออกจากช่องท่อ (SHAFT) หรือหุ้มท่อลมให้ต่อเนื่องจนถึงภายนอกอาคาร 3.ช่องท่อ (SHAFT) สำหรับท่อลม ควรเป็นแนวตั้งตรงจนถึงบนดาดฟ้า ไม่ควรเลี้ยวหลบไปมา และ 4.ปลายช่องท่อ (SHAFT) ทั้งส่วนบนสุดและล่างสุดอยู่ภายในอาคาร ต้องปิดปลายให้ดีด้วย
เลขาธิการ วสท. กล่าวต่อไปว่า เหตุเพลิงไหม้ห้างใหญ่ครั้งนี้ นับเป็นบทเรียนครั้งสำคัญสำหรับวิศวกรและสถาปนิกตั้งแต่ผู้ออกแบบ ผู้รับเหมาก่อสร้าง และนักดับเพลิงได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้สามารถยืนยันได้ว่า “อันตรายของการลุกลามเพลิงไหม้ในช่องเปิดที่พื้นหรือปล่องแนวตั้ง สามารถทำให้เพลิงไหม้และควันไฟลุกลามแพร่กระจายไปได้ไกลและสูงมาก” เปรียบเสมือนปล่องไฟ
ส่งผลกระทบต่อการหนีไฟ การดับเพลิงและกู้ภัย โดยเหตุเพลิงไหม้และควันไฟในกรณีนี้ไม่ได้ลุกลามแบบตรงไปตรงมา เหมือนที่เคยเห็นกันบ่อยๆ
ขณะที่ บุษกร แสนสุข ประธานสาขาวิศวกรรมความปลอดภัย และป้องกันความปลอดภัย วสท. กล่าวเสริมว่า แนวทางการอพยพขณะเกิดเพลิงไหม้ในอาคารต่างๆ และมาตรฐานการแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ประกอบด้วย 1.หากเกิดเพลิงไหม้แล้วอาคารกำหนดให้ประกาศด้วยรหัสที่ทราบกันเฉพาะเจ้าหน้าที่นั้น ควรใช้ในช่วงแรกก่อนการยืนยันว่าเกิดไฟไหม้จริงเท่านั้นหากยืนยันว่าเกิดไฟไหม้จริงควรยกเลิกการใช้รหัสลับ และใช้ลำดับขั้นตอนแจ้งเหตุของระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ของอาคาร
2.เมื่อมีการยืนยันว่าเกิดเพลิงไหม้แล้ว ทุกอาคารควรแจ้งเตือนให้หนีไฟบริเวณที่เกิดเหตุเพลิงไหม้นั้นทันที พร้อมทั้งแจ้งเตือนหรือให้ข้อมูลเหตุการณ์เท่าที่จำเป็นเพื่อคนภายในอาคารส่วนอื่นๆให้เตรียมตัวรับฟังประกาศหรือแจ้งเตือนให้หนีไฟ และ 3.อาคารศูนย์การค้า หรืออาคารขนาดใหญ่ๆ หรือกลุ่ม Mixed Use สามารถแจ้งเตือนเป็นลำดับขั้นตอนได้ ทั้งนี้ตามมาตรฐานนั้นจะไม่ยอมให้คำนวณการระบายคนออกจากอาคารโดยบันไดเลื่อน โดยไม่ถือว่าเป็นบันไดหนีไฟ
ซึ่งกรณีของบันไดเลื่อนนั้นไม่แนะนำให้ใช้ในการหนีไฟในภาวะฉุกเฉิน (แต่ไม่ห้ามใช้) เพราะขั้นบันไดไม่เท่ากัน อาจสะดุดหกล้มง่ายราวจับมีระดับต่ำกว่ามาตรฐาน อาจพลัดตกได้ง่ายหากเบียดเสียดกันมากบันไดเลื่อน อีกทั้งหากจำนวนคนเกินพิกัด บันไดเลื่อนอาจทรุดพังลงมาได้ และปัจจุบัน วสท. ยังไม่ได้กำหนดให้บันไดเลื่อนหยุดอัตโนมัติเมื่อเกิดเพลิงไหม้ รวมถึงบันไดเลื่อนอาจมีช่วงเวลาที่ใช้งานไม่ได้ เพราะกำลังซ่อมบำรุง
ด้าน ธเนศ วีระศิริ นายก วสท. แสดงความเป็นห่วงอาคารต่างๆ ในกรุงเทพฯ เนื่องจาก “ปัจจุบันอาคารสูงกว่า 23 เมตร ก่อสร้างก่อนออก พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2535 มีมากกว่า 1,000 แห่ง” มีตั้งแต่ 8 ชั้น หรือ 23 เมตร จนถึง 33 ชั้น หรือประมาณ 80 เมตร ที่ยื่นขออนุญาตตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ซึ่งไม่อยู่ในข่ายต้องมีระบบป้องกันอัคคีภัยที่สมบูรณ์ เหมือนอาคารใหม่ที่ก่อสร้างหลังการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับที่ 33 ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2535 เช่น บันไดหนีไฟ ผนังกันไฟ สปริงเกอร์ เครื่องสูบน้ำและสายฉีดดับเพลิง
ซึ่งสถิติเพลิงไหม้ในเมืองหลวงของไทย 3 ปีล่าสุด ปี 2559 เกิดเพลิงไหม้ 681 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 11 ศพบาดเจ็บ 135 ราย ปี 2560 เกิดเหตุเพลิงไหม้ จำนวน 783 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 23 ราย บาดเจ็บ 117 ศพ ปี 2561 เกิดเหตุเพลิงไหม้ 292 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 15 ราย ได้รับบาดเจ็บ 93 ศพ อย่างไรก็ตาม กฎหมายกำหนดให้อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารชุมนุมคน และอาคารอื่นๆ ที่กำหนดในกฎกระทรวงในกรุงเทพฯ ต้องจัดทำรายงานการตรวจสอบสภาพอาคารและส่งให้กองควบคุมอาคาร สำนักการโยธาธิการ กรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประจำทุกปี
เช่นเดียวกับ ต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายก วสท. ที่ยกเหตุการณ์เพลิงไหม้มหาวิหารเก่าแก่ของฝรั่งเศส ซึ่งจุดที่เพลิงลุกไหม้อย่างหนักคือบริเวณส่วนหลังคาที่ส่วนใหญ่เป็นไม้ มาเป็นอุทาหรณ์ว่า “โบราณสถานของไทยหลายแห่งมีโครงสร้างทำจากไม้ แต่ยังขาดระบบเตือนภัยและดับเพลิงที่เหมาะสม” จึงอยากเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาโบราณสถานให้ความสำคัญด้วย
เพราะโบราณสถานเก่าแก่เหล่านี้..ความเสียหายนั้นไม่อาจประเมินค่าได้!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี