พระ-ผู้ป่วย-ประชาชนเคลื่อนขบวนเดินเท้ารณรงค์แก้กฎหมายดึงกัญชาออกจากยาเสพติด "อ.เดชา" ชี้ชาวบ้านนับล้านต้องการใช้รักษาแต่เข้าไม่ถึง "ดร.อาทิตย์" วอนรัฐบาลปลดล็อค อดีตตำรวจเผยป่วยเป็นมะเร็งใช้จนอาการหายขาด
วันนี้ (21 พ.ค.62) ที่บริเวณวัดป่าวชิรโพธิญาณ อ.โพทะเล จ.พิจิตร เครือข่ายภาคประชาชน 10 องค์กรประกอบด้วย มูลนิธิข้าวขวัญ มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ มูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิสุขภาพไทย มหาวิทยาลัยรังสิต เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก เครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพ (ขสช.) ประชาชน และเครือข่ายผู้ป่วย (Healthy Forum) ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม "เดินเพื่อผู้ป่วย:กัญชารักษาโรค" โดยการเดินเท้าจากวัดป่าวชิรโพธิญาณ ไปถึงวัดบางปลาหมอ จังหวัดสุพรรณบุรี รวมระยะทาง 268 กิโลเมตร ซึ่งระหว่างทางจะมีเวทีบรรยายพิเศษและเสวนาให้ความรู้เกี่ยวกับนโยบายกัญชารักษาโรค โดยมีวิทยากรและผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆแสดงความจำนงเข้าร่วมอย่างคับคั่ง
ทั้งนี้ บรรยากาศที่วัดป่าวชิรโพธิญาณเป็นไปอย่างคึกคักตั้งแต่เช้า โดยมีพระสงฆ์และประชาชนหลายร้อยคนรวมถึงผู้ป่วยด้วยโรคต่างๆโดยเฉพาะมะเร็งเดินทางมาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ซึ่งได้มีการถวายอาหารพระตั้งแต่เวลา 07.30 น. และรับพรจากพระก่อนเริ่มต้นเดินขบวน ซึ่งในวันแรกจะเดินเท้าไปตามถนนเป็นระยะทาง 15 กิโลเมตร จนกระทั่งเวลา 09.39 น.ขบวนเดินเท้าได้เริ่มออกเดินทาง
อาจารย์เดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ กล่าวว่า เป้าหมายหลักในการเดินครั้งนี้มีด้วยกัน 3 ประการคือ 1.ต้องการปรับเปลี่ยนกฎหมายปัจจุบันให้ดีขึ้นเพราะกัญชายังเป็นยาเสพติดอยู่ แม้จะผ่อนผันให้ทำยาได้แต่ขอบเขตจำกัดมาก ทำให้การผลิตและแจกจ่ายเข้าถึงผู้ป่วยได้น้อยมาก อย่างกรณีที่ตนดำเนินการอยู่ทำอย่างเต็มที่ก็สามารถแจกจ่ายได้ไม่เกิน 1 หมื่นคนต่อปี ขณะที่ผู้ป่วยที่ต้องการใช้ยาชนิดนี้มีมากกว่า 8 แสน- 2 ล้านคน ซึ่งในอนาคตน่าจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 10 ล้านคน ดังนั้น จึงควรปรับกฎหมายเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงสมุนไพรชนิดนี้มากขึ้นโดยแยกกัญชาออกจากกฎหมายยาเสพติดก่อน
2.ต้องการให้ข้อมูลที่ถูกต้องต่อสาธารณชนก่อนว่ากัญชาไม่ใช่ยาเสพติด แต่เป็นยารักษาโรคซึ่งการใช้ที่ถูกต้องจะเป็นประโยชน์มากโดยเฉพาะการรักษาและแก้ไขปัญหาสุขภาพซึ่งมีราคาถูก สามารถลดค่าใช้จ่ายได้มากโดยเฉพาะลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ
3.ระดมทุนบริจาคเพื่อผลิตยาสำหรับแจกฟรี และหากยังทำไม่ได้มากก็ใช้ทุนก้อนนี้ในการรณรงค์ในการปรับกฎหมาย ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จัดกิจกรรม และจัดครั้งเดียวอาจไม่เพียงพอ เพียงแต่เป็นการเริ่มต้น และมีอีกหลายเรื่องที่ยังต้องให้ความรู้โดยการอบรม จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายปี
"หลังจากที่ผมศึกษาและทำเรื่องกัญชามา 6 ปี เริ่มจากทดลองใช้กับตัวเองก่อน แล้วใช้กับลูกศิษย์ สุดท้ายใช้กับสาธารณชน เราพบว่ากัญชามีประโยชน์มาก เราต้องการให้ทุกคนเข้าถึงกัญชาอย่างทั่วถึง อยากให้ทุกคนปลูกและสกัดได้เพื่อรักษาตัวเอง ในระดับชุมชนอยากให้มีการแจกจ่ายฟรีสมุนไพรชนิดนี้กับผู้ป่วยทุกอำเภอ คือมี 1 วัดในทุกอำเภอแจกจ่ายอย่างทั่วถึง เราอาจใช้พื้นที่ปลูกกัญชาอำเภอละ 10 ไร่ ซึ่งคาดว่ามีผู้ป่วยอำเภอละไม่เกิน 3 หมื่นคน หากทำได้ระบบสาธารณะสุขในบ้านเราจะดีขึ้นมาก ดีกว่าต้องพึ่งระบบสุขภาพของรัฐและเอกชนอย่างเดียว" อาจารย์เดชา กล่าว
ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ กล่าวว่า หลายโรคที่ใช้น้ำมันกัญชาหลายเกือบร้อยเปอร์เซ็น เช่น โรคไมเกรนซึ่งหายขาดแน่นอน ครั้งแรกที่ตนเริ่มทดลองใช้กับผู้ป่วย 147 คน ปรากฏว่าอาการดีขึ้นและหาย 142 คน นอกจากรักษามะเร็ง รักษาตาแล้วตนยังใช้หยอดหู และอีกโรคหนึ่งที่รักษาได้จริงคือโรคซึมเศร้าที่น่ากลัวกว่ามะเร็งซึ่งคนไทยเป็นกันมากแต่ไม่แสดงอาการ ส่วนมากมารู้ตัวตอนอาการระดับ 4 ซึ่งคิดอยากฆ่าตัวตายแล้ว เป็นโรคแห่งยุคสมัยยิ่งประเทศเจริญประชาชนยิ่งเครียดมากขึ้น ประเทศที่เจริญแล้วคนที่ฆ่าตัวตายจะมากกว่าการที่ถูกคนอื่นฆ่าซึ่งประเทศไทยกำลังเป็นเช่นนั้น ตนพบคนไข้คนหนึ่งที่นอนไม่หลับแม้จะกินยาจากแพทย์ก็ไม่หลับ แต่เมื่อกินน้ำมันกัญชาปรากฏว่าหาย
"เราพบว่าระบบที่รักษากัญชาไม่ได้รักษาโรคโดยตรง แต่รักษาทางอ้อม โดยการนอนหลับซึ่งสำคัญมากในการฟื้นฟูร่างกาย ซึ่งมีปัจจัยในการวัดคือ 1.นอน 6-10 ชั่วโมงซึ่งยานอนหลับทำได้แต่กัญชาทำได้ดีกว่า 2.ต้องหลับลึกอย่างน้อยร้อยละ 20 ของการหลับซึ่งยานอนหลับทำไม่ได้แต่กัญชาทำได้ 3.หลับแล้วฝันซึ่งกัญชาทำได้ 4.กัญชาช่วยนอนหายใจอย่างดี เพราะยิ่งอายุเยอะยิ่งหายใจไม่ได้ บางคนหยุดหายใจซึ่งเป็นอันตรายมากๆ แต่กัญชาได้ช่วยควบคุมการทำงานของสมองเต็มที่" อาจารย์เดชากล่าว
อาจารย์เดชากล่าวว่า การนิรโทษกรรมผู้ที่ครอบครองกัญชาหมดตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ทำให้วันนี้ไม่มีการคุ้มครองแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครปลูกกัญชาได้ยกเว้นภาครัฐทำเองหรืออนุญาตให้ใครปลูกซึ่งไม่เพียงพอ ทุกวันนี้เราแจกเกิน 10 กิโลกรรมอาจถูกตั้งข้อหารุนแรงว่าจำหน่ายยาเสพติดโดยไม่ต้องมีหมายศาลค้น ดังนั้นวันนี้กัญชายังเป็นยาอันตรายของกฎหมาย ซึ่งประชาชนไม่สามารถเข้าถึงได้ แม้วันนี้ทำได้แต่ก็แจกไม่ได้เพราะผิดกฎหมายต้องรอให้ อย.รับรองก่อน ซึ่งการจะแจกได้ต้องมีสถาบันวิชาการมาช่วยซึ่งมีเงื่อนไขเยอะ และผิดกฎหมายไปหมด สุดท้ายแม้มีกัญชามากมาย แต่หากจ่ายผ่านงานวิจัยเต็มที่ก็แจกได้ไม่เกิน 300 คนแต่คนไข้ที่มารับยากับตนอย่างน้อย 8,000 คน ซึ่งตอนนี้มีคนมาลงทะเบียนกว่า 20,000 คน
นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่าประชาชนสามารถเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ได้โดย 1.เข้าร่วมกิจกรรมเดินรณรงค์ตามเส้นทางที่ได้ประกาศ แม้ขณะนี้จะปิดรับลงทะเบียนทางเพจเฟซบุคแต่สามารถลงทะเบียนได้ที่หน้างาน 2. เข้าร่วมฟังบรรยายเสวนาตามกำหนดการในเส้นทางแวะพัก 3.บริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการผลิตยาแจกจ่ายแก่ผู้ป่วยที่มีความจำเป็นและไม่สามารถเข้าถึงยาได้ 4.ลงชื่อสนับสนุนการปลดกัญชาออกจากยาเสพติดเพื่อการแพทย์ เรียกร้องให้แก้กฎระเบียบและกฎหมาย เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงยากัญชาและหมอพื้นบ้านสามารถปลูก ปรุง และแจกจ่ายยาได้โดยปราศจากอุปสรรค
5.ลงชื่อเข้าร่วมโครงการวิจัยน้ำมันกัญชาเพื่อการรักษา 6. ร่วมแชร์ข้อมูลและข่าวสาร เดินเพื่อผู้ป่วยเพื่อสร้างความรู้และพลังซึ่งจะเป็นพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลง ได้ทางเพจเฟซบุค เดินเพื่อผู้ป่วย cannabis walk Thailand เพจปฏิวัติกัญชา เพจไบโอไท เพจมูลนิธิข้าวขวัญและเพจมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ทั้งนี้ จะมีการถ่ายทอดสด ทางเพจเฟซบุคเดินเพื่อผู้ป่วย Cannabis walk Thailand และเพจสื่อเถื่อนตลอดการเดินเท้า 20 วัน
ขณะที่เครือข่ายภาคประชาชนที่ร่วมจัดกิจกรรมครั้งนี้ได้ร่วมกันอ่านคำประกาศก่อนออกเดินว่า การมารวมตัวกันของประชาชนครั้งนี้เพื่อต้องการปลดกัญชาออกจากยาเสพติดเพื่อการแพทย์และยารักษาการป่วยไข้ที่เป็นสิทธิและศีลธรรมขั้นพื้นฐาน ซึ่งสืบทอดมายาวนานกว่า 300 ปี ดังปรากฏหลักฐานในตำราโอสถพระนารายณ์ โดยการเดินเพื่อผู้ป่วย คือการประกาศอิสรภาพของประชาชน ให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงยาจากกัญชา และหมอยาพื้นบ้านตลอดจนบุคคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุขสามารถปลูก ปรุง และแจกจ่ายยากัญชาได้โดยปราศจากกฎระเบียบและกฎหมายขัดขวาง
ภาคประชาชนระบุว่า ขบวนการเดินด้วยเท้าของสามัญชนคนเล็กคนน้อยครั้งนี้ มีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่เฉกเช่นการเดินของมหาตมคานธี เพื่อเรียกร้องสิทธิการทำเกลือของประชาชนอินเดีย ซึ่งในที่สุดนำไปสู่การประกาศอิสรภาพของอินเดีย ในขณะที่เป้าหมายการเดินครั้งนี้เป็นไปเพื่อการเข้าถึงยา การคุ้มครองส่งเสริมการพึ่งพาตนเองในการรักษาพยาบาลของประชาชน ต่อต้านการผูกขาด และการออกกฎระเบียบหรือกฎหมายใดๆที่เอื้ออำนวยประโยชน์การใช้กัญชาทางการแพทย์แก่กลุ่มทุนหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง
ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสิต ซึ่งร่วมเดินเท้ากล่าวว่าประชาชนเดือดต้อนแสนสาหัส ซึ่งกัญชาสามารถรักษาโรคได้แต่ประชาชนเข้าไม่ถึงเพราะรัฐบาลยังกีดกันให้กัญชาเป็นยาเสพติดเราจึงต้องเดินด้วยเท้าเรียกร้องให้กัญชาออกจากยาเสพติดและเป็นสมุนไพรรักษาประชาชน อยากให้ผู้มีอำนาจเห็นใจประชาชนที่ป่วยยาก การเดินครั้งนี้แม้พวกเราจะป่วยและแก่เฒ่าแต่ก็ต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลปลดล็อคครั้งนี้
อดีตตำรวจนายหนึ่งซึ่งเคยป่วยด้วยโรคมะเร็งและใช้น้ำมันกัญชารักษาจนหาย เปิดเผยว่าเมื่อปี 2556 แพทย์ตรวจพบว่าตนเป็นมะเร็งที่ตับและได้ผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออก 2 ครั้ง แต่ปี 2559 ตรวจพบว่ามะเร็งได้ลามไปที่ปอดจนต้องผ่าตัดอีก ต่อมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เริ่มใช้น้ำมันกัญชาแบบเข้มข้นหยดใต้ลิ้น ปรากฏว่าเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรกเพราะสามารถนอนหลับลึก และเมื่อครบ 1 เดือนไปตรวจพบเนื้อร้ายหายไป เช่นเดียวกับตุ่มที่ขึ้นบนแขนซึ่งเป็นอาการข้างเคียงของมะเร็ง เมื่อใช้น้ำมันกัญชาทาก็ยุบและหายไป
"เมื่อก่อนนอนตื่นมาก็ยังรู้สึกอ่อนเพลีย แต่พอใช้น้ำมันกัญชาตื่นนอนด้วยความสดชื่นเพราะได้หลับลึก ผมจึงเห็นด้วยที่รัฐควรจัดให้การรักษาด้วยกัญชาเป็นทางเลือกของประชาชน พอเวลาเหล้า-บุหรี่ไม่เห็นอธิบดีหรือผู้มีอำนาจต้องเซ็นให้ใช้ แต่พอกัญชาซึ่งเป็นสมุนไพรรักษาโรคกับต้องเซ็น ผมเชื่อว่าที่กัญชายังติดอยู่ในบัญชียาเสพติดทุกวันนี้เพราะทุนใหญ่ๆไม่ต้องการให้เป็นของประชาชน ผลประโยชน์มันมหาศาล" อดีตตำรวจรายนี้ กล่าว และว่า การที่จะทำให้กัญชาออกจากกฎหมายยาเสพติดได้นั้น ประชาชนต้องรวมตัวกันมากๆเพื่อกดดันรัฐบาล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี